กรีดแผลแรกทางเศรษฐกิจ ‘ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019’ ทะลวง ‘อู่ฮั่น’ ศูนย์กลางสำคัญของจีน งัดคำสั่งปิดเมือง ระงับทุกเส้นทาง ตัดช่องทางแพร่ระบาด
ปฐมบททศวรรษใหม่ ปี 2020 เมื่อไวรัสอุบัติใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019’ (2019-nCoV) แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน จากหลักสิบ สู่หลักร้อย ทะยานสู่หลักพัน ผ่านมายังไม่ครบเดือน มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 4,500 คน และเสียชีวิตมากกว่า 100 ราย
และด้วยการแพร่ระบาดที่รวดเร็วจนยากจะควบคุม ทำให้ทางการจีนตัดสินใจออกคำสั่ง "ปิดเมืองอู่ฮั่น" สั่งชัตดาวน์ขนส่งมวลชนสาธารณะทุกเส้นทาง ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ หวังป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่อาจลุกลามสู่ศูนย์กลางของประเทศและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
แง่หนึ่ง "ปิดเมืองอู่ฮั่น" นับเป็นมาตรการที่เด็ดขาดและควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้ดีที่สุด ณ เวลานี้
แต่อีกแง่หนึ่ง "ปิดเมืองอู่ฮั่น" ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวแน่นขนัด บรรดาธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ล้วนแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น อีกทั้งเส้นทางการขนส่งถูกปิดกั้นย่อมกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างแน่นอน
...
หากย้อนไปในสมัยการแพร่ระบาดของ ‘ซาร์ส’ (SARS) เมื่อปี 2002-2003 หลังสถานการณ์คลี่คลาย เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ อัตราการเติบโตลดลงเหลือ 9.1% ในไตรมาส 2 ของปี 2003 จาก 11.1% ในไตรมาสก่อนหน้า
ซึ่งหากเทียบกันแล้ว ผลกระทบทางเศรษฐกิจจีนในครั้งนี้อาจจะมากกว่าซาร์สก็เป็นได้ เพราะ ‘อู่ฮั่น’ ถือเป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรม ที่มีความสำคัญต่อจีนทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม การศึกษา และการขนส่ง มักเรียกกันว่า ‘ชิคาโกเมืองจีน’ ในบรรดาเมืองศูนย์กลางของจีนถือว่ามีพลเมืองหนาแน่นมากที่สุด มีประชากรราวๆ 11 ล้านคน
ในปี 2019 เมืองอู่ฮั่นมีอัตราการเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 7.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีของจีนถึง 1.7% โดยมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสูงถึง 35.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ‘อู่ฮั่น’ ยังถือเป็นฐานการผลิตหลักของจีน มีเขตพัฒนาอุตสาหกรรมชั้นสูง 3 แห่ง, เขตพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีก 4 แห่ง มีสถาบันการค้นคว้าวิจัยมากกว่า 350 สถาบัน ทั้งยังมีองค์กรด้านไอทีอีกกว่า 1,656 แห่ง ถือได้ว่า ‘อู่ฮั่น’ เป็นเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุดในบรรดาเมืองอื่นๆ ในเอเชียก็ว่าได้
ผลกระทบเบื้องต้นที่มองเห็นคร่าวๆ ก็อย่างเช่น ผลกระทบจากการชัตดาวน์เส้นทางขนส่งที่อาจทำให้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าไม่เพียงพอ และอาจทำให้สินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงทางการค้าส่งออกไม่ได้ตามเป้า
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เปิดบทวิเคราะห์กับ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ประเมินอาการ "จีน" หลัง "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019" ระบาดหนัก
"ไวรัสทำให้อัตราเติบโตจีน
ต่ำสุดในรอบ 29-30 ปี"
รศ.ดร.สมชาย เริ่มต้นการวิเคราะห์ว่า ปี 2020 หากไม่มีปัญหาไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวได้ถึง 6% แต่ถ้าเดือนมีนาคมยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ในไตรมาสแรกของจีน อัตราการเติบโตจะลดลงมาที่ 5% กว่า ซึ่งมีการประเมินว่า ต้นทุนที่หายไปจะประมาณ 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หมายความว่า จีดีพีจีนจะถูกกระทบประมาณ 1% โดยภาพรวมหากว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ไม่ได้ขยายตัวจนรุนแรงมากเกินไปนัก อัตราการเติบโตของจีนปีนี้คงอยู่ที่ 5% กว่า ในกรณีนี้อธิบายได้ว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นตัวที่ทำให้จีนมีอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 29-30 ปี ไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว
"จีนมีการปิดเส้นทางการเดินทางหลายแห่ง กระทบประมาณ 50 กว่าล้านคน เมื่อมีการปิดเมือง ดังนั้นการท่องเที่ยว การผลิต การขนส่ง ก็หยุดไปพอสมควร มันจะออกมาเป็นลูกโซ่ ไม่ใช่แค่เมืองอู่ฮั่น แต่ลามไปเมืองอื่นด้วย แล้วอย่าลืมว่าอู่ฮั่นเป็นบริเวณที่มีการผลิตสินค้าให้กับต่างประเทศ ฉะนั้น การหยุดทุกอย่างกระทบเป็นลูกโซ่"
...
จากการเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าของ "อู่ฮั่น" นั้น รศ.ดร.สมชาย มองว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในเมืองอู่ฮั่นครั้งนี้ อาจส่งผลต่อรายได้ด้านการท่องเที่ยวและส่งออกของประเทศอื่นๆ จนอาจลามไปถึงเศรษฐกิจของโลก อย่างเช่นกรณีตัวอย่าง "สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา"
"เศรษฐกิจโลกเริ่มถูกกระทบแล้ว เพราะว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ อย่างอาเซียนที่มีการพึ่งพาจีนในแง่การส่งออกและการท่องเที่ยว อัตราการท่องเที่ยวไทยอย่างดีที่สุดอาจเท่ากับปีที่แล้ว ประมาณเกือบ 2% การส่งออกที่ตั้งใจว่าปีนี้อาจเป็นบวก ดีไม่ดีอาจเหมือนปีที่แล้ว คือ ‘ติดลบ’ ทุกประเทศในอาเซียนพึ่งพาจีนหมด ฉะนั้น เริ่มมีการประเมินกันว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้คิดว่าดีกว่าปีที่แล้ว คือ ปีนี้จะ 3.3% ปีที่แล้ว 3% แต่โอกาสที่เศรษฐกิจโลกตอนนี้จะขยายเกือบ 3.3 จะยากแล้ว ขยายตัวได้เท่ากับใกล้เคียงปีที่แล้วก็ถือว่าเก่งมาก"
...
รศ.ดร.สมชาย มองว่าหาก "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019" สงบลง จีนจะต้องเร่งกู้คืนเศรษฐกิจของประเทศที่เสียหายไปกลับคืนมา ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ
"จีนต้องกระตุ้นการลงทุน การบริการต่างๆ ต้องใช้เงินภาครัฐ ซึ่งไทยเองก็เหมือนกัน กรณีนี้ต้องทุ่มในเรื่องการท่องเที่ยวและการส่งออก อีกข้อที่สำคัญ ไทยพึ่งพาจีนในด้านการลงทุน ปีนี้เป็นปีของการลงทุน ที่อีอีซีจะมีนักลงทุนจากจีนมากที่สุด ไทยต้องพยายามชดเชยด้วยการเน้นการลงทุน"
อีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.สมชาย มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในขณะนี้ อาจทำให้มีการเดินทางน้อยลง ส่วนหนึ่งรัฐบาลไม่ให้เดินทาง อีกส่วนหนึ่งประชาชนยังคงกังวล แม้กระทั่งการเดินทางภายในประเทศก็มีน้อยลง ฉะนั้น ณ เวลานี้จึงต้องรอให้คลี่คลายลงก่อนเท่านั้น.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวอื่นๆ :
...