ตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา มีข้อมูลและสถิติต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เกี่ยวกับภาครัฐและภาคเอกชน มาจนถึงวันนี้สิ้นปี 2562 สิ่งต่างๆ เหล่านั้นขยับหรือเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้วมาดูกัน!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รวบรวม DATA ที่มีคนให้ความสนใจในรอบปี 2562 มาอัปเดตความคืบหน้าให้กับคุณผู้อ่านทุกท่านได้ติดตาม ว่า ณ วันนี้ เวลานี้ สิ้นปี 2562 มีความคืบหน้าอย่างไร? ใครได้ประโยชน์-ใครเสียประโยชน์อย่างไร?

เริ่มกันที่

DATA | ขุมทรัพย์แสนล้าน ‘ดิวตี้ ฟรี’ 4 สนามบิน เค้กก้อนโตที่ใครๆ ก็อยากได้

นับเป็นการประมูลสัมปทานที่เป็นวาระที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี 2562 อีกหนึ่งสัมปทาน สำหรับ ‘ดิวตี้ ฟรี’ 4 สนามบิน ของท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ ทอท. ที่ยืดเยื้อ โต้แย้ง กันมาตั้งแต่ต้นปี ที่ตอนแรกจะรวบเป็นสัญญาเดียว 4 สนามบิน แต่ทนกระแสเสียงต้านเอื้อทุนใหญ่รายเดียวไม่ไหว ยอมเคาะแยกเป็น 2 สัญญาสัมปทาน แบ่งเป็น สัญญาแรก ‘ดิวตี้ ฟรี’ สนามบินสุวรรณภูมิ และสัญญาที่ 2 ‘ดิวตี้ ฟรี’ 3 สนามบินภูมิภาค คือ สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ แต่ยังคงเป็นรูปแบบผู้ประกอบการรายเดียว (Master Concessionaire)

...

สรุปผลประมูลเป็นอย่างไร?

ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้

จากตอนแรกที่เกิดกระแสคัดค้านกลัวการเอื้อทุนใหญ่รายเดียว จนต้องแยกสัญญาสัมปทานออกเป็น 2 สัญญา แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น หลังผลการประมูลเปิดเผย ‘คิง เพาเวอร์’ ทุนใหญ่หน้าเดิมกวาดเรียบ 2 สัญญาสัมปทาน ‘ดิวตี้ ฟรี’ สุวรรณภูมิ และ ‘ดิวตี้ ฟรี’ 3 สนามบินภูมิภาค (ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่)

สัญญาแรก ‘ดิวตี้ ฟรี’ สนามบินสุวรรณภูมิ : บจก.คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้คะแนนไป 94.30 ชนะกิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) ที่ได้คะแนนเพียง 83.10 โดยหนึ่งในเหตุผลที่ ทอท. ให้ไว้ คือ ‘คิง เพาเวอร์’ เสนอค่าตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) สูงกว่าที่ ทอท. เคยได้รับอยู่เดิมและสูงกว่าที่ ทอท. คาดหมาย ซึ่ง ‘คิง เพาเวอร์’ เสนอไว้ที่ 15,419,000,000 บาท สูงกว่ากิจการร่วมค้าฯ เกือบเท่าตัว

สัญญาสอง ‘ดิวตี้ ฟรี’ 3 สนามบินภูมิภาค (ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่) : บมจ.คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้คะแนน 96.10 สูงกว่า บมจ.โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) ที่ยื่นข้อเสนอในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บมจ.โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย), บจก.เอ็มไพร์ เอเชียกรุ๊ป และ WDFG LIMITED ที่ได้คะแนน 86.72 ส่วนค่าตอบแทนขั้นต่ำรายปีก็เป็นดั่งเช่นสัญญาฉบับแรก โดย ‘คิง เพาเวอร์’ เสนอไว้ที่ 2,331,000,000 บาท

สรุปผล ‘คิง เพาเวอร์’ ได้สัมปทาน ‘ดิวตี้ ฟรี’ ทั้ง 2 สัญญา โดยมีระยะเวลาสัญญา 10 ปี 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2574

DATA | มหากาพย์ ‘รัฐสภา’ 6 ปีไม่พอ ขอต่ออีกนิด

เดิมทีแล้ว การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ หรือนามอันไพเราะ ‘สัปปายะสภาสถาน’ มีกำหนดสร้างเพียง 900 วัน นับตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2556 และต้องสิ้นสุดในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 แต่สารพันปัญหา(?) จนทำให้ผู้รับเหมาอย่าง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ทำการขอยืดเวลากันถึง 3 ครั้ง ลากยาวกันมาถึง 6 ปี ขยายจนมาสิ้นสุดที่ 15 ธันวาคม 2562 รวมแล้วระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญา 2,382 วัน ซึ่งในวันที่ 14 มิถุนายน 2562 ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ได้ตรวจสอบความคืบหน้าแล้วพบว่า รัฐสภาแห่งใหม่นี้เสร็จเพียง 63.93% เท่านั้น

...

แล้วในวันนี้ รัฐสภาแห่งใหม่คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้

นับจากวันที่ 14 มิถุนายน 2562 มาจนถึงการแจ้งผลการทำงานล่าสุดของ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ความคืบหน้าของการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่อยู่ที่ 77.39% น้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้ มาแบบนี้คิดว่าจะมีการขอยืดเวลาอีกครั้งหรือไม่?

คำตอบ คือ ใช่!!

ผู้รับเหมาขอขยายเวลาก่อสร้างเป็นครั้งที่ 4 อย่างที่มีการคาดการณ์กันไว้ โดยขยายออกไปอีก 382 วัน กำหนดสิ้นสุดก็สิ้นปี 2563 เลยนั่นล่ะ และแน่นอนว่า ครั้งนี้ก็เป็นการยินยอมยืดอีกเช่นเคย ไม่ต้องจ่ายค่าปรับสักบาท

จากมหากาพย์ ‘รัฐสภา’ 6 ปี ต้องแก้ใหม่เป็น มหากาพย์ ‘รัฐสภา’ 7 ปี ที่ถ้าคราวนี้ก็หวังว่าจะครบกำหนด 100% สักที

...

DATA | ‘เศรษฐีพันล้าน’ กับ ‘ช่องว่าง’ ที่ยิ่งถ่าง

จาก DATA ฝ่ายภาครัฐ มาเข้าสู่ DATA ฝ่ายภาคเอกชน เหล่านักธุรกิจ ‘เศรษฐีพันล้าน’ ที่ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี ไทยมี ‘เศรษฐีพันล้าน’ หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 11 คน กลายเป็นประเทศที่มี ‘เศรษฐีพันล้าน’ มากที่สุดในอาเซียน นำทัพโดย ‘เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ที่มีขุมทรัพย์ความมั่งคั่ง 15.2 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 4.6 แสนล้านบาท ขณะที่ ‘เศรษฐีพันล้าน’ ระดับโลก อันดับ 1 คือ ‘เจฟฟ์ เบซอส’ แห่งอาณาจักรอเมซอน ที่มีขุมทรัพย์ความมั่งคั่ง 131 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 4 ล้านล้านบาท

จาก DATA ณ วันนั้น ถ้าคนไทยเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท อยากมั่งคั่งเท่า ‘เจ้าสัวธนินท์’ ต้องใช้เวลาถึง 2.56 ล้านปี มาถึงวันนี้ ขุมทรัพย์พวกเขาเหล่านั้นจะเพิ่มหรือลดลงอย่างไร? และจะต้องใช้เวลาเท่าใดถึงจะเท่าเทียม?

ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ขออัปเดตให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้ชม

จาก 5 อันดับ ‘เศรษฐีพันล้าน’ ระดับโลก มีเพียง ‘เจฟฟ์ เบซอส’ แห่งอาณาจักรอเมซอนเท่านั้น ที่มีความมั่งคั่งลดลงจากเดิม อยู่ที่ 111.1 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 3.4 ล้านล้านบาท ส่วนคนที่เพิ่มมากที่สุดในบรรดา 5 เศรษฐีพันล้าน คือ ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ และครอบครัว’ แห่งอาณาจักรหลุยส์ วิตตอง จาก 76 พันล้านดอลลาร์ฯ (2.3 ล้านล้านบาท) เป็น 109.3 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 3.29 ล้านล้านบาท

...

ขณะที่ ‘เศรษฐีพันล้าน’ ของไทยเองก็ไม่น้อยหน้า เบอร์หนึ่งอย่าง ‘เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี มีขุมทรัพย์ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจาก 15.2 พันล้านดอลลาร์ฯ (4.6 แสนล้านบาท) เป็น 17.2 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 5.2 แสนล้านบาท ส่วน ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี’ แห่งอาณาจักรไทยเบฟเวอเรจ หรือ ไทยเบฟ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 16.2 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 4.9 แสนล้านบาท (เดิม 14.5 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือ 4.4 แสนล้านบาท)

แน่นอนว่า เมื่อขุมทรัพย์ความมั่งคั่งของ ‘เจ้าสัวธนินท์’ เพิ่มมากขึ้น หากคนไทยที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท อยากมั่งคั่งเท่า ก็ต้องใช้เวลามากกว่าเดิม จาก 2.56 ล้านปี ก็เพิ่มเป็น 2.88 ล้านปี!!

DATA | ’31 เศรษฐีพันล้าน’ รวมตัวรวยยิ่งกว่าเดิม

จากความร่ำรวยของ ‘เศรษฐีพันล้าน’ ในไทย ที่ดูเหมือนจะมีมากมายหลายคนเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วกลับคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของประชากรในไทยทั้งหมด แถมยังมีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกัน 2.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19% ของจีดีพีทีเดียว ขณะที่ หากรวมจำนวนประชากร ‘50 เศรษฐีไทย’ ที่คิดเป็นสัดส่วน 1% ของประชากรในประเทศ ก็มีขุมทรัพย์ความมั่งคั่งรวมกันมากกว่างบประมาณปี 2563 ซะอีก อยู่ที่ 4.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 32% ของจีดีพี

ณ วันนี้ การเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม 1% ที่ว่านี้จะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด?

ทีมข่าวเฉพาะกิจฯ ขออัปเดตคร่าวๆ ดังนี้

จากมูลค่าขุมทรัพย์ความมั่งคั่งของ ‘เศรษฐีพันล้าน’ 31 คน ที่มี 2.9 ล้านล้านบาท มาในวันนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 106.4 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 3.2 ล้านล้านบาท ใช้เวลาเพียงไม่ถึงปีความมั่งคั่งของพวกเขาก็เทียบเท่ากับงบประมาณปี 2563 คิดเป็นสัดส่วน 19.61% ของจีดีพี แล้วเรียบร้อย

หลังจากนี้ ในปี 2563 สิ่งที่ต้องติดตามนอกจากความมั่งคั่งของเหล่ามหาเศรษฐีไทยแล้ว ก็ต้องตามดูต่อว่า ‘รัฐสภาไทย’ จะเสร็จสมบูรณ์อย่างที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่?.

ข่าวอื่นๆ :