"หนูรักแม่ รักพ่อมาก หนูขอโทษ หนูกำลังจะตาย เพราะไม่สามารถหายใจ"

ข้อความสุดท้ายของหญิงสาวชาวเวียดนามรายหนึ่ง วัย 26 ปี ที่ส่งถึงพ่อแม่ที่บ้านเกิด หลังเธอกำลังจะสิ้นลมเป็นเหยื่อ 1 ใน 39 ราย ภายใต้ตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็นบนรถบรรทุกที่นิคมอุตสาหกรรมวอเตอร์เกลด เมืองเกรย์ส มณฑลเอสเซกซ์ ทางใต้ของอังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา

ข่าวนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมช็อกโลก ใครจะคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในเมืองผู้ดีอย่างประเทศอังกฤษ โดยตามไทม์ไลน์ของสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รถบรรทุกติดพ่วงคอนเทนเนอร์ห้องเย็นแล่นออกจากเมืองเพอร์ฟลีต หลังเวลา 12.30 น. ของวันเดียวกัน หรือราว 35 นาทีต่อมา จากนั้นรถบรรทุกห้องเย็นคันนี้มาถึงนิคมอุตสาหกรรมวอเตอร์เกลด เมืองเกรย์ส มณฑลเอสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ ทว่าเมื่อโชเฟอร์เปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็น ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่า "คนที่อยู่ในนั้นเสียชีวิตทั้งหมด" จึงได้แจ้งตำรวจ

ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานว่า แท้ที่จริงแล้ว เหยื่อชาวจีนและเวียดนามเหล่านี้อยู่ภายในตู้คอนเนอร์แช่เย็นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่ง "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" ได้เชิญมือดีด้านนิติวิทยาศาสตร์ มาร่วมกันถอดรหัสความน่าจะเป็น ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมสะเทือนโลกบนดินแดนชาวผู้ดีกันดีกว่า

...

ในเมื่อแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์พร้อมแล้ว เราไปสังเคราะห์ร่วมกัน ได้เลย!

3 ปัจจัย คร่าชีวิตหมู่ 39 ศพ

เบื้องต้น หากลองวิเคราะห์สาเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ น่าจะมีเหตุปัจจัยท่ีน่าจะนำไปสู่การเสียชีวิตของทั้ง 39 คน ได้ 3 ประการ คือ

1. ระดับออกซิเจนที่ลดต่ำลง

2. ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น

3. ระดับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงกว่าปกติ

อย่างไรก็ดี ในความเป็นไปได้ทั้ง 3 ประการนี้ ผู้เชี่ยวชาญสืบจากศพของเรา มองไปที่ ประเด็นเรื่อง "ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น" มากที่สุด 

เช่นนั้นแล้ว อะไรคือเหตุผลสนับสนุนทฤษฎีนี้กันล่ะ...?

ข้อแรก ตู้คอนเทนเนอร์แช่แข็งที่บรรทุกร่างของทั้ง 39 ศพนั้น ไม่มีช่องสำหรับการถ่ายเทอากาศอย่างแน่นอน เพราะมันถูกออกแบบมาสำหรับการเก็บกักความเย็นเอาไว้ภายในให้มากที่สุด และอุณหภูมิภายในจะต้องติดลบอย่างต่ำที่สุด คือ -20 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นเท่ากับว่า มันคือ สถานที่อับอากาศ

หากใครนึกภาพไม่ออก มันก็เหมือนการนำถุงพลาสติกมาคลอบศีรษะ หรือการเข้าไปอยู่ในตู้เย็นเป็นเวลานานๆ ซึ่งจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งมัจจุราชที่คร่าชีวิตเขาและเธอ 39 ศพ ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า "คาร์บอนไดออกไซด์" หรือ อากาศที่มนุษย์เราหายใจออกมาทุกๆ ครั้งนั่นเอง

การหายใจออกของมนุษย์สร้าง "คาร์บอนไดออกไซด์" ได้มากขนาดไหน?

โดยปกติมนุษย์เราหายใจ 12 ครั้งต่อนาที ซึ่งลมหายใจออกจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ อากาศในชั้นบรรยากาศปกติเองก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ประมาณ 0.02 เปอร์เซ็นต์ด้วย

ฉะนั้น หากมนุษย์อยู่ในสถานที่อับอากาศ ทำให้ต้องหายใจซ้ำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่พ่นออกมากลับเข้าไป จะทำให้ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับออกซิเจนที่ค่อยๆ หายไป ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว จะมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศสูงขึ้นกว่าปกติ จนเข้าขั้นระดับวิกฤติ และมีปริมาณก๊าซออกซิเจนที่ลดต่ำลงด้วยเช่นกัน

...

"คาร์บอนไดออกไซด์" ร้ายกาจขนาดไหน?

เบื้องต้น มีรายงานว่า หาก "มนุษย์" เข้าไปอยู่ในสถานที่อับอากาศต่างๆ เช่น ภายในถ้ำ เหมือง หรือหลุมลึกต่างๆ ที่มีระดับคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นในอากาศ 1% จะทำให้มนุษย์มีอาการซึม หากเพิ่มเป็น 2% สติสัมปชัญญะจะเริ่มลดลง และหากเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% ขึ้นไป จะทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ ภายในเวลาเพียงแค่ 8 นาที!

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ณ เวลาที่มนุษย์ต้องเผชิญกับคาร์บอนไดออกไซด์ 3-5% ในสถานที่อับอากาศนั้น ระดับการหายใจของมนุษย์จะถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากอัตราปกติ เป็น 2 หรือ 4 เท่า เพราะร่างกายต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น นั่นก็แปลว่า ระยะเวลาที่มนุษย์จะอยู่รอดภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นจะถูกลดทอนให้สั้นลงไปกว่าระยะเวลา 8 นาทีก็เป็นได้!

...

ทำความเข้าใจ ความร้ายกาจของ คาร์บอนไดออกไซด์ กันแล้ว เราไปที่ประเด็นถัดไปกันต่อ!

ย้อน TIMELINE ดูเส้นทาง นาทีชีวิต 39 ศพ

จากรายงานการสอบสวนของตำรวจอังกฤษ พบว่า จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมตู้คอนเทนเนอร์ 39 ศพ เกิดขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 รถบรรทุกหายนะออกเดินทางจากเมืองโฮลีเฮด ประเทศไอร์แลนด์ ข้ามฟากมายังเมืองเพอร์ฟลีต ประเทศอังกฤษ ในระหว่างนั้น อีกฟากฝั่งทางประเทศเบลเยียม ตู้คอนเทนเนอร์ก็ถูกลำเลียงออกจากท่าเรือเซบรึคเคอ เวลา 14.49 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันอังคารที่ 22 ตุลาคม

จากนั้นในเวลา 00.30 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันพุธที่ 23 ตุลาคม รถบรรทุกและตู้คอนเทนเนอร์ก็มาบรรจบกันที่เมืองเพอร์ฟลีต ประเทศอังกฤษ และในเวลา 01.05 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันเดียวกัน ตู้คอนเทนเนอร์ก็ถูกยกขึ้นวางบนรถบรรทุกแล้วออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สถานที่ปลายทาง

เดินทางเพียงไม่นาน ในเวลา 01.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันเดียวกัน ณ เมืองเกรย์ส ประเทศอังกฤษ กลับพบว่า 39 ชีวิต ที่อยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าว เสียชีวิตหมดแล้ว

ซึ่งหากนับตั้งแต่ตู้คอนเทนเนอร์ออกจากท่าเรือเซบรึคเค ประเทศเบลเยียม มาจนถึงเมืองเกรย์ส ประเทศอังกฤษ ทั้ง 39 ชีวิตต้องเข้าไปทนคุดคู้อยู่ในที่ที่ทั้งมืดมิดและหนาวเหน็บภายในตู้คอนเทนเนอร์ มาตั้งแต่ต้น ก็เท่ากับว่า เขาและเธอทั้งหมดอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์มรณะ เป็นระยะเวลานานกว่า 11 ชั่วโมง 31 นาที!!

แล้วพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิต เมื่อไหร่ ?

...

ผู้เชี่ยวชาญสืบจากศพ และ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอเริ่มต้นกระบวนการคำนวณ เพื่อหาทางถอดรหัสมรณะสะเทือนโลก ในครั้งนี้ดู !!

เราไปเริ่มที่ “คอนเทนเนอร์" กันก่อน ทีมข่าวฯ พยายามค้นหาขนาดคอนเทนเนอร์ที่มีขนาดใกล้เคียงกันกับ คอนเทนเนอร์มรณะ จนพบว่ามันน่าจะมีขนาดประมาณ 40 ฟุต และมีขนาดภายในเท่ากับ กว้าง 2.35 เมตร, ยาว 12.03 เมตร และสูง 2.39 เมตร หากนำมาคำนวณปริมาตรของอากาศภายใน จะได้ทั้งสิ้น 67.566 ลบ.ม. หรือเท่ากับ 67,566 ลิตร

ขณะที่ปกติแล้วมนุษย์ทั่วไป จะหายใจประมาณ 12 ครั้งต่อนาที เท่ากับว่า มนุษย์ 1 คน จะสร้างลมหายใจ 4.2 ลิตรต่อนาที

แต่เนื่องจากลมหายใจ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ 3.6% จึงคิดปริมาณการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ได้ที่ 3.6% x 4.2 ลิตรต่อนาทีต่อคน เท่ากับ 0.1512 ลิตรต่อนาทีต่อคน

ดังนั้น หากทั้ง 39 คน หายใจพร้อมๆ กัน ย่อมสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ได้เท่ากับ 39 x 0.1512 = 5.8968 ลิตรต่อนาที!!

และจะยิ่งแย่ไปกว่านั้น เมื่อทั้ง 39 คน ต้องเข้าไปนั่งคุดคู้ภายในตู้คอนเทนเนอร์ จะใช้เวลา (3% x 67,566) / 5.8968 เท่ากับ 344 นาที หรือ 5 ชั่วโมง 44 นาทีโดยประมาณ

จึงทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ภายในตู้คอนเทนเนอร์สูงถึง 3%

หลังจากนั้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตโดยมนุษย์ 39 คน จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และเมื่อเวลาผ่านไป (5% - 3% x 67,566) / (2 x 5.8968) เท่ากับ 115 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 55 นาทีโดยประมาณ ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มสูงถึง 5% ส่งผลให้พวกเขา 39 คน เสียชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็ว

ที่สำคัญ หากว่าคนที่อยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์อยู่ในสภาพตื่นตกใจ ก็จะยิ่งทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ผลิตได้เกินกว่า 2 เท่า!

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า หากนับตั้งแต่ 39 ชีวิต เข้าไปอยู่ภายในตู้คอนเทนเนอร์ จะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 44 นาที + 1 ชั่วโมง 55 นาที เท่ากับ 7 ชั่วโมง 39 นาที จึงจะเสียชีวิตทั้งหมด!!

ทั้งนี้ การนำตู้คอนเทนเนอร์แช่แข็งไปใช้สำหรับการลักลอบขนคนเข้าเมือง จึงถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน เพราะใครจะไปคิดว่า จะมีมนุษย์ใจคอเหี้ยมโหดบางคน นำมนุษย์ด้วยกันเองยัดเข้าไปในพื้นที่แสนจะมืดมิด คับแคบแออัด และต้องทนทรมานอยู่กับความหนาวเย็นและแทบไม่มีอากาศหายใจ โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมใดๆ ได้

เบื้องต้น การขนถ่ายมนุษย์จนทำให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อกโลกนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการใช้วิธีการโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนานี้เป็นครั้งแรก แต่น่าจะเพราะเครือข่ายค้ามนุษย์นี้เคยมีการทดลองทำ จนประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้ง จึงได้เลือกใช้วิธีการนี้ซ้ำอีก

หากแต่ในครั้งนี้ น่าจะเพราะด้วยความโลภจากค่าจ้าง ที่ว่ากันว่า ต่อคนน่าจะสูงถึง 30,000 ปอนด์อังกฤษ (หรือประมาณ 1,168,000 บาท) จึงนำเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยัดเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ มากเกินกว่าทุกครั้งที่เคยทำมา คือ มีจำนวนมากถึง 39 คน (ชาย 31 คน หญิง 8 คน) จนกระทั่งทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่สุดแสนเศร้าในครั้งนี้.

ข่าวอื่นๆ :