“ที่นี่คือที่ไหน..” (ภาษาโปรตุเกส)
“อามาเก๊า” (สถานที่ของอาม่า)
ชาวเลเชื้อสายจีนกวางตุ้งตอบกลับหนุ่มโปรตุเกสนาม “จอร์จ อัลวาเลซ” (Jorge Alvares) ชายนักสำรวจคนแรกที่แล่นเรือมาพบ มาเก๊า ในปี ค.ศ. 1513 กระทั่ง เมื่อปี ค.ศ.1550 ก็มีคนตามรอยผู้นี้ และมาพร้อมกองทัพ ซึ่งต่อมา ดินแดนมาเก๊า ที่เดิมถูกเรียกว่า “โอหมูน” (ประตูแห่งการค้าขาย) ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของประเทศโปรตุเกส และถูกออกเสียงเรียก ผิดเพี้ยนจนกลายเป็น มาเก๊า ในที่สุด
ตำนานเทพอาม่า “เทพธิดาแห่งท้องทะเล”
แต่สิ่งที่ชาวเลตอบไปว่า “อามาเก๊า” นั้น มีที่มาจากคำเรียกของชาวบ้านแถบนั้นที่เคารพบูชา “อาม่า” หรือ “เจ้าแม่ทับทิม” ซึ่งมีเรื่องเล่าเป็นตำนานว่า นานมาแล้วมีเรือจากฝั่งฝูเจี้ยนจะเดินทางมาที่มาเก๊า จากนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งจะขอโดยสารเรือมา แต่ไม่มีเรือสำเภาลำไหนรับให้ขึ้นเรือ มีเพียงเรือสำเภาเก่าๆ ลำเล็กลำหนึ่งเท่านั้นที่ให้เธออาศัยขึ้นมา
ระหว่างทางได้เกิดพายุฝนพัดกระหน่ำ เรือสำเภาของคนร่ำรวยเกิดอับปางหมด มีเพียงเรือสำเภาเก่าๆ ลำนี้เท่านั้นที่ฟันฝ่ามรสุมมาได้ ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะระหว่างที่เกิดลมพายุนั้น หญิงสาวคนนี้เดินมาที่ท้ายเรือ พร้อมกุมหางเสือเรือเอาไว้ ซึ่งเมื่อเรือเดินทางมาถึงบริเวณท่าเทียบเรือใกล้ๆ กับวัดอาม่า จากนั้นเธอเดินทางมาที่โขดหินก้อนหนึ่ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ลอยหายขึ้นไปในอากาศ คนที่โดยสารเรือมาพยายามหาแต่ไม่พบ ซึ่งด้วยเหตุนี้เอง ชาวเรือจึงเชื่อว่าเธอคือ “เทพธิดาแห่งท้องทะเล” มาปกปักคุ้มครองคนมาเก๊า
...
ใช่แล้ว สกู๊ปพิเศษของทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะว่าด้วยเรื่องของ “มาเก๊า” หลังจากได้รับคำเชิญ จาก การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสามารถพูดุง มิรามาร์ กรุ๊ป หรือ www.ynotfly.com และ การท่องเที่ยวมาเก๊า อยากจะเปิดดินแดนเมืองท่า ที่ไม่ได้มีแต่กาสิโน และทาร์ตไข่ มาให้เราได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
ทริปนี้ เราเลือกเดินทางด้วยเที่ยวบิน TG 600 จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปลงที่สนามบิน นานาชาติฮ่องกง หลังจากบินอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางมาถึง ถึงแม้ตอนที่เดินทางมาจะมีเหตุประท้วงใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
จากนั้น เราได้เลือกนั่งรถต่อข้ามสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกเพื่อเดินทางไปเขตบริหารพิเศษมาเก๊า (Hong Kong Zhuhai Macau Bridge) โดยราคาหัวละ 65 เหรียญฮ่องกง คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 260 บาท ใช้เวลานั่งเพลินๆ ดูทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย
ทริปนี้มีสมาชิกไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือ นายกฤตนัย กร่ำรักษา หรือ คุณไอซ์ ผู้จัดการส่วนงานการตลาด การท่องเที่ยวมาเก๊า ซึ่งเปรียบเสมือนไกด์นำทางและให้ข้อมูลดีๆ ตลอดทาง
...
นายกฤตนัย กล่าวว่า สาเหตุที่มีการจัดทริปนี้ขึ้นเพราะทางมาเก๊า อยากให้คนไทยได้รู้จักมาเก๊าได้มากขึ้น ไม่ใช่นึกถึงมาเก๊า จะมีแต่ “กาสิโน” เท่านั้น เสน่ห์ของมาเก๊า คือ การผสมผสาน ตะวันตกและตะวันออก ซึ่งการที่โปรตุเกสเข้ามาที่มาเก๊ากว่า 400 ปี ทำให้เขาได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมทุกๆ อย่างเอาไว้ ทั้งอาหาร สถาปัตยกรรม หรือ ศาสนา ขณะเดียวกัน มาเก๊าไม่ได้ถูกวัฒนธรรมตะวันตกกลืนไปเสียทุกอย่าง เพราะขนบธรรมเนียมที่เป็นจีน อาหารการกินก็ยังคงอยู่ ดังนั้น “มาเก๊า” จึงกลายเป็นเมืองที่มี 2 วัฒนธรรมผสมผสานกันอย่างลงตัว
จากประวัติศาสตร์กว่า 400 ปี ที่โปรตุเกสเข้ามา ทำให้คนในประเทศมาเก๊า มีทั้งคนจีน คนโปรตุเกส และลูกครึ่งจีนโปรตุเกส อาศัยอยู่ ซึ่งปัจจุบัน มีประชากรประมาณ 680,000 คน 90% เป็นคนจีนกวางตุ้ง และแมงกานิส (ลูกครึ่งโปรตุเกส) อีก 10% เป็นชาวโปรตุเกส และชาติอื่นๆ
จิตใจคนมาเก๊า โผงผางเสียงดัง แต่ลึกๆ เป็นคนใจดี นายกฤตนัย เล่าถึงอุปนิสัย คนท้องถิ่น เนื้อแท้ของคนมาเก๊านั้น ถือว่าเป็นคนมีน้ำใจ แต่ลักษณะภายนอกอาจจะดูโผงผาง ซึ่งถือเป็นลักษณะนิสัยของคนจีนกวางตุ้ง หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจีน รวมไปถึงที่มาเก๊า
...
วัดอาม่า รากเหง้ามาเก๊า ขอพร ได้ 2 ข้อ
สำหรับ วัดที่เหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาเก๊า ก็คือ วัดอาม่า (A-ma Temple) อย่างที่เล่าที่มาในเบื้องต้น วัดอาม่า แห่งนี้ คือรากเหง้าจากจีน คือ วัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า แล้วยังถือเป็นมรดกโลกด้วย หากเปรียบเทียบง่ายๆ กับประเทศไทย วัดอาม่า ก็เปรียบเสมือน ศาลหลักเมืองที่ไม่ว่าใครที่มามาเก๊าแล้ว จะต้องมาไหว้เคารพบูชา
สำหรับวิธีการขอพร ศาลอาม่า คือ
1. กล่าวชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด
2. ขอพรเรื่องอะไรก็ได้ 1 เรื่อง เช่น นักธุรกิจอาจจะมาขอให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
3. หลังจากขอข้อแรกแล้ว ก็ให้ขอเรื่องการเดินทางด้วย เพราะอาม่า เปรียบเสมือนเทพที่คอยปกปักให้เดินทางปลอดภัย
...
ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล Ruins of St. Paul’s
สมัยก่อนเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของเอเชีย แต่ที่ผ่านมา ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ถึง 3 ครั้ง แต่ยังคงเอกลักษณ์ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล กับบันไดอีก 68 ขั้น ที่ยังเหลืออยู่
“หากมามาเก๊าแล้ว ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์ปอล ก็หมายความว่า มาไม่ถึง..”
ซึ่งที่แห่งนี้คือสัญลักษณ์ของ “รากเหง้า” ของตะวันตก ที่เข้ามาในดินแดนมาเก๊า
ชมงานศิลปะ กับ ธีมงาน Art macau
ในทริปนี้ สิ่งที่การท่องเที่ยวมาเก๊า พยายามเน้นหนักคือ การโชว์ความเป็น “เมืองแห่งศิลป์” เพราะทั่วเมืองมาเก๊าทั้งโรงแรม มิวเซียม จะถูกซ่อนไปด้วยแหล่งรวมผลงานศิลปะจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก
นอกจากงานศิลปะแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมและสถานที่ถ่ายรูปชิกๆ อีกหลายแห่ง อาทิ Leal senado building ถือเป็นตึกเก่าที่มีอายุกว่า 400 ปี ตกแต่งด้วยกระเบื้องสไตล์โปรตุเกส ด้านในก็จะมีเก็บหนังสือโบราณ
หากเราเดินจากตรงนี้ไปสัก 5 นาที เราก็จะเจอ Happy Street ซึ่งมีการตกแต่งสไตล์จีน ถนนทั้งสายเป็นบ้านอนุรักษ์สีแดง นอกจากนี้ยังมี mandarin house ตรงนี้เป็นบ้านของเศรษฐีหลังใหญ่มาก โดยเปิดให้เข้าชมได้ฟรี นอกจากนี้ยังมี Dom Pedro V Theatre ซึ่งเปรียบเสมือนโรงละครแห่งแรกมาเก๊า ซึ่งถ่ายรูปออกมาแล้วสวยงาม
นอกจากนี้ ยังมีอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลองมากมาย ทั้งตะวันตกแบบโปรตุเกส ตะวันออกแบบจีน หรือจะผสมผสาน เป็นแมงกานิส ซึ่งทีเด็ดของที่นี่ ไม่ได้มีแค่ทาร์ตไข่ (ทาร์ตไข่ก็อร่อยนะ ต้นฉบับคือของ Lord Stow’s Bakery แต่หลายๆ คนก็ชอบของ Margaret’s Café e Nata ร้านของอดีตภรรยาของร้าน Lord Stow’s Bakery)
สำหรับใครที่เดินทางมาถึงมาเก๊าแล้ว อย่าลืมไปลิ้มลองอาหารทะเล ซึ่งมีหลากหลาย (ดูจากภาพเอาเลย) แต่ถ้าให้แนะนำนั้น ขอบอกว่า อยากให้ลอง ข้าวตุ๋นซีฟู้ด ซึ่งรสชาติเด็ดดวงมาก มีความเข้มข้นของมันกุ้ง ตัวข้าวไม่แฉะหรือนุ่มจนเกินไป เรียกว่ารสชาติกลมกล่อม ใครชอบแบบไหน ก็ลองหาซื้อกินกันได้ ส่วนราคาขายนั้น ก็ลองคำนวณดู ถ้าถือเงินฮ่องกง ก็คูณ 4 บาท แต่ถ้าเงินมาเก๊า ก็จะอ่อนกว่าเล็กน้อย
สำหรับทริปเดินทางครั้งนี้ อุปสรรคสำคัญเห็นทีจะเป็นเรื่องฝน ทำให้บรรยากาศและภาพที่ออกมาขมุกขมัวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากใครจะเดินทางมาในช่วงอากาศดีๆ วิวทิวทัศน์คงแจ่มแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การเที่ยวมาเก๊านั้น สามารถเที่ยวชมแบบเต็มอิ่มได้ภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าใครสะดวกจะกลับไปเที่ยวที่ฮ่องกง นอกจากทางรถแล้ว ยังมีเรือให้ใช้ด้วย ซึ่งทางเรือนั้นเรียกว่าสะดวกสบาย แต่ราคาอาจจะแพงกว่ารถ 3-4 เท่าตัว
อย่าลืมนะ มาเก๊ามีอะไรให้เที่ยวมากกว่า "กาสิโน" และ ทาร์ตไข่ ไม่เชื่อก็ลองมาดูกัน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน