จากพินัยกรรมหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ระบุไว้ตั้งแต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ที่มีความตั้งใจจะมอบร่างคืนสู่ธรรมชาติด้วยการมอบให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ และเมื่อฌาปนกิจเสร็จ ก็ให้นำเถ้าไปลอยอังคารที่แม่น้ำโขง จ.หนองคาย
โดยหนึ่งในญาติที่เซ็นพินัยกรรมในครั้งนั้นก็คือ นายประทีป วงษ์กาญจนรัตน์ หรือ ครูดำ 1 ใน 3 ที่มีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงพ่อคูณ โดยมี นายบุญเกิด วงษ์กาญจนรัตน์ หรือ ต้อ และนายสุดท้าย วงษ์กาญจนรัตน์ หรือ แดง
นายประทีป หรือ ครูดำ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหนึ่งในห้า ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ ได้เปิดเผยกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงเรื่องราวการพูดคุยระหว่างหลานๆ และหลวงพ่อคูณ ชนิดที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
...
เงินบริจาคเหมือนน้ำแข็ง กำไว้มีทั้งร้อนและเย็น ก่อนที่จะละลาย
ครูดำ เล่าว่า เดิมทีเป็นครูสอนอยู่ที่ อ.ชัยบาดาล ด้วยที่เราเป็นหลานและพอมีความรู้ด้านก่อสร้างอยู่บ้าง หลวงพ่อคูณ จึงให้มาช่วยงานด้านแบบก่อสร้างโรงเรียนและพัฒนาวัด ตั้งแต่ปี 2539 โดยเราจะเป็นคนดูแลด้านงบประมาณก่อสร้างวิทยาลัยเทคนิคทุกหลัง หลังละ 20 กว่าล้านบาท ซึ่งเมื่อถึงเวลาเบิกเราก็จะช่วยควบคุมเรื่องตัวเลข ซึ่งหลวงพ่อจะลงนามใช้เงินได้เพียงคนเดียว
“ตอนที่หลวงลุง (ครูดำเรียก หลวงพ่อคูณ) มาอยู่ เงินของวัดทั้งหมดจะมีแต่หลวงลุงองค์เดียวที่เบิกได้ โดยป้องกันคำครหาต่างๆ ซึ่งตอนนั้น ตั้งแต่ปี 2539 - 2545 มีเงินผ่านมือของเราและหลวงพ่อคูณได้อนุมัติเป็นเงินกว่า 4 พันล้านบาท โดยมีวิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ สถานีตำรวจ ช่วยก่อสร้างโรงพยาบาล หรือบริจาคช่วยเหลือวัดต่างๆ”
ที่ผ่านมา เคยมีข่าวเกี่ยวกับคำครหาเกี่ยวกับเงินบริจาคในวัด ในฐานะหลานของหลวงพ่อคูณ ตนไม่ได้รู้สึกอะไร คิดเสียว่าเป็น “กรรม” อย่างหนึ่ง ครูดำ กล่าวอย่างเศร้าสร้อย ก่อนสาธยายความรู้สึกว่า...
หลวงพ่อคูณเคยบอกกับตนว่า การบริหารงานบริจาค เหมือนกับการกำน้ำแข็ง “มึงเข้าใจมั้ยไอ้หลาน” ผมตอบว่าเข้าใจครับ ท่านก็ถามต่อว่า มึงเข้าใจว่ายังไง เราก็เลยอธิบายว่า...
หลวงลุง น้ำแข็งมีทั้งร้อน เย็น เวลากำมันนานๆ เราจะรู้สึกว่าร้อนมากๆ และเย็นมากๆ เวลาผ่านไปมันก็จะละลาย ซึ่งหลวงพ่อท่านจะสอนเรื่องสัจธรรม ที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ค่อยได้ให้ของขลังเท่าไหร่ มีเพียงให้พระคนละ 1 องค์กับหลาน 3 คน ซึ่งของเราที่ได้พระทองคำ รุ่นไพรีพินาศ แล้วอยู่ไปอยู่มา ท่านก็ให้อีกคนละองค์
ของขลังจากหลวงลุงให้หลาน ฝังตะกรุด เหรียญรุ่นไพรีพินาศ และ เหรียญปี 2512 โดนจ่อยิงกระสุนด้าน!
เมื่อครูดำ ถือว่าเป็นหลานที่มีความใกล้ชิดหลวงพ่อคูณ น่าจะได้วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกบ้าง ครูดำหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า เรื่องของขลังของหลวงพ่อคูณนั้น ส่วนตัวเห็นว่าแล้วแต่วิจารณญาณ แต่สำหรับตนนั้นเคยมีประสบการณ์ จะด้วยเป็นเพราะบารมีของท่าน หรือ ความโชคดีที่ลูกปืนด้าน!
ตอนสมัยที่ยังเรียนหนังสือ ได้ไปเรียนที่ จ.ลพบุรี วันหนึ่งได้เจอกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเราเข้า เขาเดินเข้ามาด้านหลัง จากนั้นใช้ปืนลูกซองสั้นจ่อยิง ตอนแรกไม่เห็นเขาหรอก ได้ยินแต่เสียง “เป๊ะ” เอ๊ะ...มันเสียงคล้ายๆ ปืน อีกอึดใจได้ยินอีก “เป๊ะ” เมื่อหันหน้าไปดูเท่านั้นแหละโดน “โป๊ะ” ผมถูกตบด้วยด้ามปืน ซึ่งครั้งนั้นโชคดีหรือด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อคูณ ก็ไม่ทราบที่ทำให้รอดตายมาได้
...
นายประทีป เล่าเรื่องราวที่กลั่นจากความทรงจำอย่างออกรสชาติ
ครูดำบอกว่า ได้นำเรื่องนี้มาเล่าให้หลวงพ่อคูณฟัง ซึ่งหลวงพ่อคูณถึงกับถ่มน้ำลายใส่!
“หลวงลุงผมโดนยิงมา..”
ท่านได้ฟังแล้วก็ถ่มน้ำลายใส่หัวเลย จากนั้นก็ให้ลูบหัวให้ทั่ว ซึ่งก่อนที่จะถ่ม ท่านได้งึมงำๆ เหมือนเสกคาถาอะไรบางอย่างแล้วถ่มน้ำลายใส่ เหมือนกับท่านได้เพิ่มของขลังให้ใหม่
ซึ่งหากใครที่นับถือหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะกำชับ 3 ข้อให้ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติตาม นั่นคือ
1.ให้สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน
2.ห้ามด่าพ่อแม่ เช่น ไอ้...แม่ แบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าด่าไปของจะหลุดเลย
3.ห้ามผิดลูกผิดเมียใคร (ถ้ารู้)
...
ซึ่งแน่นอนทีมข่าวฯ ได้กระซิบถามครูดำว่า ตอนนั้นลุงห้อยของขลังสิ่งใด ครูดำบอกว่า ห้อยพระในรุ่นปี 2512 และฝังตะกรุดตั้งแต่ 8 ขวบ
ถามว่า ตอนนี้คนทั่วไปนิยมพระที่หลวงพ่อคูณปลุกเสกรุ่นไหนมากที่สุด ผู้เป็นหลานของเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด ตอบว่า “ลุงไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารุ่นไหน แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่รู้มา คือ รุ่นที่เป็นเหรียญทองคำ ปี 2519 จะมีราคาสูงมาก และก็มีอีกหลายรุ่นที่มีราคา
นอกจากเหตุการณ์นี้ เหตุการณ์รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ยังเกิดขึ้นกับน้องชาย (ครูต้อ) ซึ่งเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งหนึ่งน้องชายกระเด็นออกจากรถออกเป็น 10 เมตร ซึ่งคนในรถบางคนบาดเจ็บสาหัส กระดูกหัก ไหปลาร้าหัก หรือสลบไปเลย แต่น้องชายลุงคนนี้แทบไม่ได้เจ็บอะไรมาก แค่ศีรษะแตกนิดเดียว
...
สาเหตุนำอัฐิลอยอังคารที่แม่น้ำโขง จ.หนองคาย เพราะมีสายสัมพันธ์
ทีมข่าวฯ ถามหลานหลวงพ่อคูณว่า ตอนที่ท่านอาพาธ ท่านได้ฝากฝังสิ่งใดหรือไม่ นายประทีป กล่าวว่า ตอนที่ท่านอาพาธ ท่านก็ไม่ได้สั่งอะไรมาก ท่านได้แต่บอกว่า “ดูแลวัดด้วยเด้อ กูห่วง” ซึ่งก่อนที่จะทำพินัยกรรมเรื่องการบริจาคร่างกาย ท่านได้เรียกให้ตนมาเซ็นยินยอม โดยหลวงพ่อคูณเรียกตนเข้าไปแล้วบอกว่า
“ไอ้หลาน เดี๋ยวกูจะให้มึงมาเซ็นพินัยกรรมนะ”
ตอนนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรที่หลวงพ่อถึงให้เรามาเซ็นให้ แทนที่จะเป็นหลานคนอื่น แต่อาจจะเห็นว่าเป็นหลานคนโตมั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก ไม่เกรงใจ ท่านอาจจะมองการณ์ไกล
เรื่องที่เป็นห่วง คือ การบริหารจัดการวัด ขนาดตอนหลวงพ่อคูณยังมีชีวิตอยู่ยังเคยมีปัญหา แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้วก็ยิ่งห่วง แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็คงไม่จีรังยั่งยืน เพราะบ้านตนไม่ได้อยู่ที่นี่
“ครั้งหนึ่งผมเคยถามท่านนะว่า ทำไมต้องนำอัฐิไปลอยอังคารที่หนองคาย ท่านก็ตอบผมว่า แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่สายยาวที่สุดในเอเชีย พัดผ่านหลายประเทศ โดยพัดผ่านมา สปป.ลาว ผ่านไทย กัมพูชา แล้วน้ำก็จะไหลออกทะเล ซึ่งเปรียบเสมือนสายสัมพันธ์ของกูนี่แหละ”
เผยที่มาชาวลาวนับถือหลวงพ่อคูณ กับเรื่องเล่า “ผีใส่บาตร”
เมื่อถามว่าทำไมชาว สปป.ลาว ถึงนับถือหลวงพ่อคูณอย่างยิ่ง นายประทีป กล่าวว่า ตรงนี้ขอสันนิษฐานเองนะว่า สมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์ได้ ท่านสามารถเดินข้ามน้ำไปได้ ซึ่งบางช่วงอาจจะน้ำแห้ง ก็ทำให้เดินได้ ซึ่งคาดว่าต่อมาในอนาคตมันอาจจะกว้างหรือลึกได้ ซึ่งท่านได้มองการณ์ไกล ซึ่งสมัยก่อนท่านได้เดินธุดงค์ในหลายประเทศ ทั้งกัมพูชา พม่า
“ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ไปเดินธุดงค์ในประเทศลาว ซึ่งตอนนั้นใกล้พลบค่ำ แล้วทางที่ไปเป็นทาง 2 แพร่ง ชาวบ้านจึงเข้ามาทักว่ามีอยู่ทางหนึ่งอย่าไปนะ แต่หลวงพ่อคูณเขาก็สงสัย ว่าทำไมต้องห้ามไปทางนี้ เมื่อถึงรุ่งเช้า ท่านจึงลองเดินไปบิณฑบาตตอนเช้า...
“กูไม่ได้อวดอุตริอะไรนะ แต่มันเห็นจริงๆ”
หลวงพ่อคูณอุทานขึ้น ก่อนเล่าเรื่องนี้ให้หลานทั้ง 3 คน (ครูแดง ครูต้อ อยู่ด้วย) ฟังว่า...
“มันมาห้ามกูไปทางนี้กูก็เลยลองไปดู แต่พอเดินไปก็พบว่าบรรยากาศที่เห็นก็เหมือนเป็นหมู่บ้านปกตินี่ มีคนมาหุงข้าว มาขอใส่บาตร ท่านก็เห็นว่ามีคนใส่บาตรให้ ท่านก็เดินบิณฑบาตทุกวัน”
พอผ่านไปสัก 3-4 วัน ชาวบ้านที่เคยทักว่าอย่าไปทางนั้นก็สงสัยว่าเหตุใดหลวงพ่อไม่มาบิณฑบาตที่หมู่บ้านตัวเอง จึงไปหาท่าน ท่านปักกลดธุดงค์อยู่ในป่า
“หลวงพ่อมาอยู่หลายวันไม่เห็นมาบิณฑบาต”
“กูก็ไม่รู้ ก็มาอยู่หลายวัน กูก็เลี้ยวไปทางนี้”
ชาวบ้านก็หน้าตาเหว๋อ ถามต่อว่า “หลวงพ่อได้ข้าวมามั้ย”
“กูก็ได้”
“เอ้านั่นไม่ใช่นะหลวงพ่อ นั่นมันป่าช้าเก่านะ มันเป็นเมืองผี”
“อ้าวกูก็ไปรับบิณฑบาตทุกวัน มิน่าล่ะ กูเอาข้าวที่บิณฑบาตมาไปหว่านให้มด หรือไก่ ก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนมากิน”
อ้าว..แล้วหลวงพ่อฉันอะไร ครูดำถามหลวงพ่อคูณด้วยความสงสัย
“กูก็ไม่รู้ว่ากูฉันอะไร แต่ฉันลงไปมันก็อิ่ม”
ซึ่งตรงนี้เองคือเรื่องหนึ่งที่ชาวลาวอาจจะรู้สึกศรัทธาหลวงพ่อคูณ อีกทั้งหลวงพ่อคูณยังนำเงินไปช่วยเหลือประเทศลาวจำนวนมากด้วย
อารมณ์ขันของหลวงพ่อคูณ คุยเกทับหลาน มึงแค่ครู อีกหน่อยกูตายจะได้เป็นครูใหญ่!
สมัยที่เรายังหนุ่มๆ เคยขออะไรท่านบ้าง ลุงดำ ตอบว่า ไม่ได้ขออะไรมาก เคยขอให้เรียนสำเร็จ สอบติดทหารได้ ซึ่งก็สามารถทำได้จริง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่เอา ท่านจึงแนะนำให้สอบครู ไปเป็นครูบ้านมึงแทน
“ตอนที่ท่านจะบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ ท่านยังคุยทับผมเลย เมื่อก่อนตอนทำพินัยกรรมเสร็จ ท่านพูดว่า “ไอ้หลาน พวกมึง 3 คน (หลานทั้ง 3 คน) เป็นแค่ครูนะ... แต่วันไหนที่กูตายนะ กูจะใหญ่กว่าพวกมึงอีก เพราะกูจะได้เป็น “ครูใหญ่” เมื่อเล่าถึงตรงนี้ลุงดำถึงกับหัวเราะเสียงดัง
ระหว่างที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่นั้นเอง หลวงพ่อคูณ ท่านเหลือบไปเห็นชุดขาว ซึ่งเป็นชุดข้าราชการ ท่านก็ถามทันทีว่า “พวกมึงแต่งได้ไหม” พวกเรารับคำทันทีว่าได้ ท่านจึงบอกเลยว่า “กูอยากเห็น” ท่านก็ให้ลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีรถ พาพวกเราไปตัดชุดที่ตัวเมือง ซึ่งท่านก็มองพวกเราแล้วนั่งยิ้ม
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว กระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ท่านมรณภาพไปแล้ว เราจึงขออนุญาตมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้ใส่ชุดขาวทั้งหมด ซึ่งวันนี้ก็มีญาติพี่น้องที่เป็นข้าราชการได้ใส่ชุดขาว
รู้ล่วงหน้า ละสังขาร ให้คำมั่นสุดท้าย จะทำตามพินัยกรรม
ช่วงก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้มีลางบอกเหตุอะไรหรือไม่ และท่านรู้ล่วงหน้าหรือไม่ หลานคนโตของหลวงพ่อคูณ ตอบแบบน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “ไอ้หลาน...กูไม่น่าจะเกินเดือนพฤษภาคม”
แต่ปกติแล้ว เวลามีข่าวลือว่าท่านมรณภาพ ท่านก็มักจะออกมาพูดว่า “กูไม่ตายดอก” แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ลึกๆ ท่านบอกกับเราในตอนแรกว่า อาจจะเป็นเดือนเมษายน เราก็ตอบว่า “หลวงลุงอยู่ก่อน” ท่านตอบทันทีว่า “กูไม่รู้ว่าจะไหวมั้ย อย่างมากก็อยู่ได้ถึงเดือนพฤษภาคม”
ช่วงเดือนเมษายนมาจริงๆ ตอนนั้นหลวงพ่อคูณยังพูดได้ กระทั่งวันที่ 15 พ.ค. ตนมีเหตุที่ต้องเข้ากรุงเทพฯ มีคนโทรบอกอาการท่าน ผมยกมือไหว้แล้วอธิษฐานว่า “หลวงลุงรอผมก่อนนะ ผมจะรีบเข้าไปหาที่โคราช” พอถึงวันที่ 16 พ.ค.ไปถึง เมื่อไปถึงโคราชได้ชั่วโมงนิดๆ ซึ่งตอนนั้นถูกกันไม่ให้เข้าไปในห้อง เรา 3 คนจึงอธิษฐานว่า “หลวงลุง เรา 3 คนมาแล้วนะ หลวงลุงไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะทำตามพินัยกรรมต่างๆ ที่ให้ไว้”
หลังจากคำอธิษฐานจบลง ไม่ถึง 10 นาที หมอเดินออกมาบอกว่า หลวงลุงไปแล้ว...
ช่วงที่เราไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล ท่านมักจะจับมือเรา 3 คนวางซ้อนกัน แล้วท่านก็บีบมือ... ซึ่งท่านรักเราแต่ท่านไม่แสดงออก
นี่คือเรื่องราวสายสัมพันธ์ระหว่าง หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กับหลานชายที่มีความผูกพันทางสายเลือด ซึ่งถือเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง