อาการ “เมาหมัด” ของ "พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์" อย่างบิ๊กป้อมคนนี้ ดูจะไม่สร่างซาไปได้ง่ายๆ เพราะพี่ใหญ่ใจดีคนนี้เล่นยึดพื้นที่สื่อทุกแขนง ชิงบัลลังก์บุคคลแห่งปีที่ถูกประชาชนกล่าวถึงมากที่สุด!

จากประโยคเด็ด “ผมก็เคยโดนซ่อม แต่ผมไม่ตาย” เมื่อครั้งที่นักข่าวจ่อไมค์สัมภาษณ์ ร้องถามปมนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ

จากนั้น “บิ๊กป้อม” ก็ยังคงถูกปล่อยหมัดต่อเนื่อง เรื่อยมาจนถึงกรณี “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” เพราะพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์คนนี้ ดันพกเฟอร์นิเจอร์ราคาสูงปรี๊ดมาร่วมถ่ายภาพหมู่ “ครม.ประยุทธ์ 5” หน้าสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า

...

จนแล้วจนเล่า พี่ใหญ่คนนี้ต้องทำใจดีสู้เสือ ออกมาประกาศกร้าวว่า “พร้อมลาออก ถ้าประชาชนไม่ต้องการ!” แต่ประชาชนตาดำๆ ที่กำลังคิดว่า “ไม่ต้องการ” บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมคนดีคนเดิมคนนี้

คุณรู้หรือไม่ นอกจาก “ฮาวาย” “ซ่อมไม่ตาย” มาจนถึง “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” บิ๊กป้อมสร้างความดี สร้างคุณูปการ สร้างผลงานใดๆ ให้กับประเทศชาติบ้าง ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะไล่เรียงมาให้ดู!

ขอเกริ่นสักนิดก่อนว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ฝั่งตะวันออก โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือที่เรียกกันว่า “ทหารเสือราชินี” ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่บิ๊กป้อมคนนี้ จะฉายภาพ “พี่ใหญ่” ทำหน้าที่ดูแลน้องๆ ในกองทัพ โดยเฉพาะความเป็น “บิ๊กบราเธอร์” ประจำ “แก๊งบูรพาพยัคฆ์” เป็นร่มเงาให้กับ “น้องป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ และ “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์

...

- ลมหายใจเพื่อชาติ ครอบครัว และผองเพื่อน -

ส่วนในแง่ของชีวิตในบ้านอันอบอุ่นนั้น ครอบครัววงษ์สุวรรณ มีพล.ต.ประเสริฐ วงษ์สุวรรณ เป็นบิดา กับ นางสายสนี วงษ์สุวรรณ เป็นมารดา โดยมีลูกชาย 5 คน คือ ป้อม พล.อ.ประวิตร, ปุ้ม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร, ป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท, พงษ์พันธุ์ (เสียชีวิตแล้ว) หรือ โค้ชก๊อก อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมทีโอที และ กุ๊ก พันธุ์พงษ์ ซึ่งเป็นฝาแฝดกัน

แต่เมื่อ พล.ต.ประเสริฐ บิดา ถึงแก่กรรมในปี 2527 ทำให้บิ๊กป้อมกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ทำหน้าที่ดูแลครอบครัว “วงษ์สุวรรณ” มาจนถึงปัจจุบัน

...

น้องชายแฝด กุ๊ก ปอกเปลือกชีวิตของ “พี่ป้อม” ว่า ตั้งแต่เรียนอยู่เซนต์คาเบรียล ไล่มาถึงเตรียมทหารรุ่นที่ 6 พี่ป้อมเพื่อนฝูงเยอะ สมัยที่บ้านอยู่เกียกกายในรั้วกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) พี่ชายชอบพาเพื่อนมาเที่ยวบ้าน มาเตะฟุตบอลกัน บางทีวันเสาร์-อาทิตย์ก็พาเพื่อนมาค้างที่บ้าน นอนกระจุกกันอยู่ในห้อง

พี่ป้อมจะเป็นผู้นำของเพื่อนตลอด หรือหัวโจก ช่วงเป็นนักเรียนนายร้อย จะมีเพื่อนในรุ่นแวะเวียนมาที่บ้านเยอะ มี พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ พล.อ.นพดล อินทปัญญา พล.อ.รุ่งโรจน์ จำรัสโรมรัน ซึ่งทุกวันศุกร์จะมาที่บ้านให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงข้าวตลอด บางทีก็เอารถจี๊ปออกไปเที่ยวกัน หากไม่ออกไปไหน ก็มานอนกันอยู่ที่นี่ บางวันขลุกกันอยู่ที่บ้านใน ปตอ. แต่บางทีก็ซ่าจนโดนแม่ตีเหมือนกัน เพราะหนีเที่ยวไปเล่นว่าวที่สนามหลวง น้องชายของพี่ป้อมเล่าอย่างออกรส

...

ในความเป็น “พล.อ.ประวิตร” น้องแฝดคนสุดท้องเล่าว่า โรงเรียนนายร้อยเตรียมทหารทำให้พี่ป้อมมีระเบียบวินัย เพราะเป็นหัวหน้านักเรียนเตรียมทหาร กับหัวหน้านักเรียนนายร้อย จปร. 17 และด้วยบุคลิกที่เป็นคนมีเมตตา ใจกว้าง เสียสละ อีกทั้งความเป็นเด็กกรุงเทพฯ ลูกนายทหารผู้ใหญ่ จึงเป็นผู้ที่ดูแลเพื่อนฝูงตลอด

“พี่ป้อมใจดี สปอร์ต มีเงินเท่าไรเลี้ยงเพื่อนหมด และที่สำคัญเป็นหนุ่มโสด ไม่มีครอบครัว ชีวิตจึงมีแต่เพื่อน และได้เป็นประธานรุ่นตลอดกาลของเตรียมทหารรุ่นที่ 6 และเป็นพี่ใหญ่ในหมู่ทหารมาจนถึงทุกวันนี้” น้องชายสุดที่รักของพี่ป้อม พูดถึงผู้เป็นพี่ด้วยความเคารพรัก

เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ใหม่ๆ หลายคนอาจมองว่า เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างยิ่งที่ พล.อ.ประวิตร คนนี้กลายเป็นม้ามืดขึ้นมานั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่สำหรับตัวเขาเองแล้วนั้น กลับมองว่า ตัวเขาเองและเพื่อนๆ ไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์แต่อย่างใด และเคยกล่าวเอาไว้ตอนหนึ่งว่า

“ผมนี่เป็นประธานรุ่นทุกปีนะ เลือกทีไรเพื่อนเขาก็เลือกผม ตอนเรียนก็เป็นหัวหน้า command ทุกปี"

ทว่า สิ่งนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ถึงจะไม่ใช่ผู้ที่สอบได้ที่ 1 ไม่ได้เรียนนอก แต่บิ๊กป้อมคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างในตัว...

- เหตุผลที่ “บิ๊กป้อม” เลือกเป็นโสดตลอดกาล -

เมื่อมาถึงบรรทัดนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า รุ่นใหญ่ใจถึงขนาดนี้ เหตุใดบิ๊กป้อมถึงเลือกครองโสดมานานจนอายุล่วงเลยมาจนถึงวัย 72 ปี...

“ที่จริงพี่ป้อมเคยมีแฟนเป็นลูกสาวของ พล.อ.เสริม ณ นคร จนเกือบจะแต่งงานกัน แต่ด้วยความที่ตนเองชอบความอิสระ มีภาระที่ต้องเลี้ยงน้อง และทำงานอยู่ต่างจังหวัดตลอด และด้วยความที่เขาคิดถึงน้องคิดถึงแม่ หรือรักเพื่อนมากกว่าแฟน เพราะคำว่าครอบครัวกับเพื่อน สำหรับพี่ป้อมเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และที่ไม่แต่งงาน เพราะความเรื่องมากก็มีส่วน เดี๋ยวเข้ากับน้องเข้ากับแม่ไม่ได้ น้องชายฝาแฝด พูดยิ้มๆ

เมื่อได้ฟังแล้ว จึงเป็นที่ชัดเจนว่า “พล.อ.ประวิตร” เลือกความเป็น “อิสระ” และ “ครอบครัว” มาเป็นที่หนึ่ง ดังนั้น ในความเป็นลูก ความกตัญญู สำหรับเขาแล้ว จึงอยู่ในระดับที่สูงมาก...

“แม่พูดกับพี่ป้อมคำไหนคำนั้น เขาจะเชื่อแม่หมด เพราะเขากตัญญู แม่สั่งอะไรก็ต้องทำ ส่วนมากแม่มองอะไรก็จะถูกต้อง โอกาสผิดน้อย แม่สอนในความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น รักพี่รักน้องเป็นเรื่องสำคัญ” น้องชายสายเลือดเดียวกัน เผยอีกมุมของพี่ชาย

- “กระสุนมันก็ไม่ได้ถามว่าคุณชื่ออะไรแล้วปล่อยคุณ” -

ส่วนในแง่มุมของความเป็นชายชาติทหารแล้วนั้น บิ๊กป้อม เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อครั้งยังเป็นผู้บัญชาการทหารบก ว่า “ผมจบมาก็ไปอยู่โคราช ถูกส่งไปอยู่ภูพาน ผมไปเดินอยู่ภูพานสัก 8 เดือน ก็ไปฝึกไปเวียดนาม ไปอยู่เวียดนาม 1 ปี”

“ตอนไปอยู่ชายแดนแถวอีสานสมัยก่อนค่อนข้างจะลำบาก ต้องเดินลาดตระเวน แบกของกิน สมัยก่อนมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในป่า เราก็ตามหา ผมไปเวียดนาม ผมก็ไปตามแนวทางการรับราชการ ผมสมัครไป ผมมีความคิดว่าการเป็นทหารต้องออกรบ เพราะเราเป็นทหารอาชีพ เราจะต้องผ่านศึกสงคราม กลับมาจากเวียดนาม ผมก็อาสาไปประเทศที่ 3 ปฏิบัติการพิเศษต่ออีก 3 ปี

“จากนั้นกลับมาอยู่ทุ่งช้าง ห้วยโก๋นอีกปีหนึ่ง พอกลับมาจากทุ่งช้างเข้ามาเรียนชั้นนายพัน สอบเข้าโรงเรียนเสธ. จบปี 2522 สถานการณ์ก็เริ่มหนักขึ้นตามแนวชายแดนเขมร ผมก็ไปอยู่ที่นั่นจนกระทั่งปี 2540 ตั้งแต่เป็น ฝอ.3 ร.21 พัน 1 แล้วเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ เป็นรองผู้พัน เป็นผู้พัน ผมเป็นผู้พัน 2 กองพันที่ปราจีนฯ และที่อรัญฯ แล้วก็เป็นรองผู้การ เป็นผู้การกรมที่สระแก้ว เป็นรองผู้บัญชาการกองพล แล้วขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพล ผมอยู่ตรงนี้ใช้เวลา 19 ปี”

เรียกได้ว่า บิ๊กป้อมเป็นนายทหารรุ่นใหญ่ที่ทันเหตุการณ์สู้รบครั้งสำคัญๆ ทั้งสิ้น “ผมเป็นผู้พันอยู่ 6 ปี 8 เดือน อยู่ตามแนวชายแดน แล้วก็เป็นผู้การอีก 4 ปี เป็นรองผู้การ 3 ปี ซึ่งนานมาก และสมัยก่อนมีการสู้รบกันตั้งแต่เขมรแดง ตั้งแต่เวียดนามเข้ามา”

เมื่อถามว่า ตอนไหนที่สู้รบหนักที่สุด บิ๊กป้อม บอกว่า “ไม่ต่างกัน รบไม่มีหนัก พลาดไปก็คือตาย ในทุกพื้นที่มันไม่มีใครเก่ง ใครไม่เก่ง ผมยืนยันได้ มันขึ้นอยู่กับยุทธวิธี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ขณะนั้น จะบอกว่าตรงนี้หนักตรงนี้ไม่หนักไม่มี แต่ถ้าการใช้กำลังเข้ากันอย่างนี้ดีกว่า จะกำลังมากกำลังน้อยก็คือตายเหมือนกัน กระสุนมันก็ไม่ได้ถามว่า คุณชื่ออะไร แล้วปล่อยคุณ

“ผมนอนชายแดนเลยนะ นอนกับลูกน้อง ผมไม่ได้อยู่ที่กองพัน แล้วผมได้รับคำสั่งนี่ ผมจะอยู่กับกองร้อยข้างหน้าตลอด ผมจะไม่อยู่ข้างหลังนะครับ ผมไปกับลูกน้องตลอด ผมจะเดินเลาะชายแดน เดินตามจุดตรวจไปกับลูกน้อง ชีวิตชายแดนผม มันเป็นอาชีพของเรา และเป็นความภูมิใจของเราในการทำงานเพื่อแผ่นดินอย่างแท้จริง ลูกน้องผมอยู่ตามแนวชายแดนไปถามดูได้ ปราจีนบุรีรู้จักผมหมด บิ๊กป้อม บอกเล่าอย่างชายชาติทหาร

- ผบ.โลว์โปรไฟล์ -

กระนั้น ก็ยังมีเรื่องเล่ากันในวงว่า บิ๊กป้อมเคยพาแม่ไปหาหมอที่ รพ.พระมงกุฎฯ โดยไปกับคนขับรถ ไม่มีผู้ติดตาม แล้วไปนั่งรออยู่ในห้องรับรองนายทหาร บังเอิญนั่งคนเดียว พยาบาลเข้ามาเห็นก็ปิดแอร์ประหยัดไฟ เพราะไม่รู้จักว่า ชายคนนี้เป็นใคร เจ้าตัวก็ไม่ท้วงติง นั่งร้อนๆ อยู่อย่างนั้น

พล.อ.ประวิตร สมัยยังเป็น ผบ.ทบ.ป้ายแดง เคยรับว่าเป็นคนโลว์โปรไฟล์ “ผมจะอยู่ในส่วนของผม คือ อยู่ในส่วนที่ผมรับผิดชอบอยู่แค่นั้น ผมจะไม่ไปก้าวก่ายใคร”

- อีกด้านหนึ่งของ พล.อ.ประวิตร ที่หลายคนมองข้าม -

เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบของกลุ่ม นปช.ที่ก่อความวุ่นวายเผาบ้านเผาเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นแก้ปัญหา พล.อ.ประวิตร ก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น และมีส่วนสำคัญในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่สงบนั้น ให้หมดสิ้นลง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-เขมร เพราะความบาดหมางของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย พล.อ.ประวิตร ก็ได้ใช้นโยบายความสัมพันธ์อันดีทางการทหารและกองทัพเปิดการเจรจากับฝ่ายเขมร จนสามารถยุติความขัดแย้งได้ในที่สุด

จนกระทั่ง พล.อ.ประวิตร ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี 2543 ว่า “ป้อมทะลุเป้า” เนื่องจากผลงานด้านความมั่นคงที่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างทะลุเป้าหมาย ตลอดจนการอนุมัติงบประมาณต่างๆ เพื่อพัฒนากองทัพก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้

- ตำแหน่งสำคัญ -

พล.อ.ประวิตร เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการร่วมถวายความปลอดภัยวังไกลกังวล ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2545 จนถึงวันที่ 30 ก.ย.2546

พล.อ.ประวิตร เป็นประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2539 จนถึงวันที่ 1 ต.ค.2540

พล.อ.ประวิตร เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 6 (ทบ.) และได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปีพุทธศักราช 2540 สาขาการพัฒนาทางทหาร

ปัจจุบัน พล.อ.ประวิตร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ซึ่งเป็นงานที่ พล.อ.ประวิตร รักและมุ่งมั่นที่จะพิทักษ์ผืนป่าแห่งนี้ด้วยชีวิต และครั้งหนึ่งหัวเรือใหญ่ของมูลนิธิฯ ได้กล่าวด้วยรอยยิ้มชนิดที่เราไม่เห็นได้บ่อยนักว่า “ผมทำงานนี้ด้วยความสนุกและความสุข”

เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ ‘สีขาว’ หรือ ‘สีดำ’...
แต่ยังมีสีกลางๆ ที่เรียกว่า ‘สีเทา’
ไม่มีใครเลวทั้งร้อย และก็ไม่มีใครดีทั้งร้อย...