จำเป็นแค่ไหน ที่จะต้องจดจำได้ว่า ไปซื้อลอตเตอรี่มาจากที่ไหน หรือ กับใคร?
ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด! เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 มาตรา 1369 มาตรา 1370 ลอตเตอรี่ ถือว่าเป็น สังหาริมทรัพย์ อยู่ในความครอบครองของใคร ให้สันนิษฐานว่า
ผู้นั้นเป็นเจ้าของ!
นอกจากนี้ ตามมาตรา 1303 วรรค 1 ให้สิทธิผู้ครอบครอง ทรัพย์ตกอยู่ในความครอบครองของใคร หากได้มาโดย มีค่าตอบแทน และครอบครองโดยสุจริต ผู้นั้นมีสิทธิดีกว่า ผู้อื่น
ฉะนั้น หากมีใครพยายามกล่าวอ้างว่า ลอตเตอรี่ นั้น เป็นของตนเอง ผู้ที่กล่าวอ้าง ต้องไปหาพยานและหลักฐานที่ชัดเจน ออกมาพิสูจน์ให้ได้ว่า ตนเองคือเจ้าของที่แท้จริง หรือเอาละ หากอ้างว่า ถูกขโมยไป หรือทำตกหล่นหาย
คำถามที่สำคัญคือ แล้วมีหลักฐานอะไรล่ะ?
กรณีถูกขโมยไป คำถามคือ ใครล่ะที่ขโมยไป มีพยานหลักฐาน หรือไม่?
...
กรณีทำหาย คำถามคือ หายจริงหรือไม่ รู้เมื่อไหร่ว่าทำหาย มีหลักฐานว่าทำหายหรือไม่ ได้แจ้งความเอาไว้หรือไม่ แจ้งความวันไหน
แต่กรณีนี้ ที่น่าตั้งข้อสังเกตคือ แล้วทำไมถึงไปแจ้งความเอา ในวันที่คู่กรณี เอาลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินแล้ว?
ฉะนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ ผู้ที่กล่าวอ้าง จะสามารถเอาไปหักล้าง ความเป็นเจ้าของ ของคู่กรณีได้หรือ?
สรุปคือ ผู้ครอบครอง ไม่จำเป็นจะต้องไปบอกใครต่อใครเลย ว่าไปซื้อลอตเตอรี่มาจากใคร? หรือที่ไหน?
อีกทั้งมันไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดปกติอะไร เพราะจำไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ โธ่...ใครจะไปจำได้ และที่สำคัญคือ ใครจะคิดว่ามันเกิดไปถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินตั้ง 30 ล้านขึ้นมา แบบนี้จริงไหม?
พี่ถามน้อง หรือถามประชาชนคนทั่วๆ ไปก็ได้ เวลาไปซื้อหวย ใครจะจำหน้าคนขายหวย ใครจำได้ไหมล่ะ? ไม่มีหรอก ใครจะไปจำได้ ! ก็ซื้อมาขายไป เราไม่ได้สนิทนี่ ถูกไหม มันไม่มีใครไปจำหน้าได้หรอก เพราะคนมันไม่รู้จักกัน
ฉะนั้น ลุงตำรวจ แทบไม่ต้องทำอะไร เพราะได้รับสิทธิครอบครองตามกฎหมายอยู่แล้ว ฝ่ายที่ต้องไปหาพยานหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์ คือ ฝ่ายที่อ้างว่า ตนเองทำลอตเตอรี่หายมากกว่า !
อีกเรื่องที่อยากตั้งขอสังเกตในประเด็นนี้เอาไว้นิดนึงก็คือ การพยายามถามลุงตำรวจ ซ้ำไปซ้ำมา ว่า ซื้อที่ไหน? ซื้อจากใคร? เป็นคำถามขุดบ่อล่อปลา หรือไม่?
พวกเราลองคิดเล่นๆ กันสิว่า หากลุงตำรวจ เกิดไปพูดระบุขึ้นมาตามนั้นจริงๆ
แล้วจู่ๆ คนที่ขายให้ลุงตำรวจ เกิดไปให้การ ตรงกันข้ามกับความจริง จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ละ...มันจะเกิดอะไรขึ้น? ลองนึกกันเล่นๆ ดูสิ !
ฉะนั้น ตอบชัดๆ ตรงนี้ได้เลยว่า ลุงตำรวจ ไม่มีความจำเป็น ต้องไปเที่ยวอธิบายกับใครต่อใครก็ได้ว่า ทำไมจึงจำไม่ได้ว่า ซื้อลอตเตอรี่ มาจากที่ไหน หรือซื้อมาจากใคร !
นี่เป็นเพียงบทสนทนาเริ่มต้น เพื่อหาทางคลายข้อสงสัย ที่ได้กลายเป็นข้อถกเถียงอย่างดุเดือด ในคอมเมนต์ สกู๊ป เดิมพันสูง กล้าแทงสวน มหากาพย์ชิงหวย30ล้าน ฟันธงหลักฐานเด็ดต้องมี! ที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอไป (2 ก.พ.61) วานนี้
ระหว่างทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐ และ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เจ้าของฉายาทนายกระดูกเหล็ก ผู้ทำคดี 6 โจ๋รุมฆ่าชายพิการ จนเรียกเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
...
เอาละ...เมื่อวานแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ได้ฟังมุมวิเคราะห์จาก อดีตมือปราบนครบาลมาแล้ว วันนี้ เราลองมาฟังบทวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกันบ้างดีกว่า !
ประเด็นที่ 1 บทวิเคราะห์ พยาน จุดชี้ขาดสำคัญในคดี ศึกชิงหวย 30 ล้าน
เท่าที่ได้รับข้อมูล เข้าใจว่า ณ จนถึงขณะนี้ ยังไม่ปรากฏหลักฐานอื่นใด นอกจากคำให้การของพยาน ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปรวบรวมมา และทั้งหมดให้การสอดคล้องกันไปในทิศทางที่ทำให้ฝ่ายคุณลุงตำรวจ ค่อนข้างเสียเปรียบ ทนายอนันต์ชัย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ
ฉะนั้น หากฝ่ายคุณลุงตำรวจ ไม่สามารถหาพยาน มาโต้แย้ง เพื่อทำลายน้ำหนักคำให้การของพยานส่วนหนึ่งในคดีนี้ได้ บอกเลยว่าหนัก หนักแน่นอน !
แต่คำถามต่อมาคือ แล้วจะหาพยานจากไหนมาสู้ เพราะหากมาเป็นพยานฝ่ายนี้ มันก็สุ่มเสี่ยงที่อาจต้องไปงัดข้อกับคนมีสีได้ตามที่ทนายลุงตำรวจแถลงว่า มีคนมีสีอยู่เบื้องหลัง แล้วแบบนี้ ใครจะกล้ามาให้การ?
เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจต้องอาศัยความสามารถ ของทนายคุณลุงตำรวจ เพียงอย่างเดียวแล้วว่า จะมีประสบการณ์ในการซักค้าน พยาน ได้มากน้อยแค่ไหน
โดยเฉพาะการซักค้าน พยานบุคคลปากเอก ที่อ้างว่าเห็นคนหยิบลอตเตอรี่ และรู้ด้วยว่า คนคนนั้น คือ คุณลุงตำรวจ
ปมนี้คือประเด็นสำคัญ ที่ทนาย ต้องซักให้ขาด ตีให้แตกให้ได้
...
ซึ่งสำหรับประเด็นนี้ พี่ก็อยากตั้งข้อสังเกตอยู่เหมือนกันนะว่า ทำไมเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว คุณถึงยังจำได้ และเพราะเหตุใด ถึงเพิ่งจะออกมาปรากฏตัวหลังจากเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วแล้ว แล้วทำไม ถึงมีแค่คนเดียวที่เห็นเสียด้วย ตำรวจไปค้นหาบุคคลคนนี้มาจากไหน?
ประเด็นถัดมา ที่คิดว่า ต้องมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด คือ เส้นทางของลอตเตอรี่ ก่อนที่จะมาถึงมือของแม่ค้าคนสุดท้าย จนนำไปสู่การขายให้คุณครู
ทนายลุงตำรวจ จะซักค้านอย่างไร ให้พยานที่มีตั้งหลายปาก หลุดคำให้การที่เป็นพิรุธ เพื่อให้มีน้ำหนักน้อยลงในการพิจารณาคดี
ขณะเดียวกัน ก็น่าจะนำหลักฐาน คำพูดของพยานในคดีนี้ เวลาไปตระเวนพูดตามสื่อต่างๆ ไปใช้ในการต่อสู้ได้ เช่น ตอนนั้น พูดแบบนี้ ทำไมตอนนี้พูดแบบนั้น ซึ่งหากไม่ตรงกัน ก็แปลว่าคำให้การของพยาน เป็นพิรุธ และน้ำหนักจะน้อยลงทันที ซึ่งมีผลในทางคดีทั้งนั้น !
โดยอาจจะรวมถึง คำพูดที่ว่า “ยินดีแบ่งส่วนแบ่งให้ครึ่งหนึ่งของเงินรางวัลที่ได้” เพราะนี่คือหนึ่งในคำให้การที่ส่อไปในทางพิรุธ
เพราะคนพูดความจริง ต่อให้อีกร้อยปี ก็จะพูดเหมือนเดิม ส่วนคนพูดโกหก พูดแป๊บเดียว มันก็จับโกหกได้แล้ว เพราะมันจะพูดไม่เหมือนกัน !
...
ประเด็นที่ 2 การปั้นทีมพยาน เพื่อไปต่อสู้คดี มีจริงหรือ?
พี่ไม่มีข้อมูลในคดีนี้นะ! แต่จากประสบการณ์ในการทำคดีมาหลายสิบปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มากพอดู ในหลักการทั่วๆ ไป พยานบุคคล นั้น ใครก็อ้างขึ้นมาได้ เพราะลิ้นคนมันไม่มีกระดูก จะพูดยังไงก็ได้ มาถึงตรงนี้ ทนายกระดูกเหล็กของเรา เริ่มมีน้ำเสียงที่มีอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย
ที่ผ่านมาในประเทศของเราเอง ก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ขบวนการปั้นพยานเท็จในคดีเชอรี่แอน นั่นไง นี่คือตัวอย่าง...ของการปั้นพยานเป็นขบวนการ มีการรับ-ส่ง คำให้การที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี จนทำให้ผู้บริสุทธิ์ติดคุกติดตะรางมาแล้ว
และต้องไม่ลืมด้วยนะว่า....เดิมพันคดีนี้ คือเงินมากมายถึง 30 ล้านบาทนะ ในขณะที่ หากใครแพ้ขึ้นมา....พี่คงไม่ต้องบอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง !
การเผชิญหน้าอย่างดุเดือดเข้มข้น ระหว่าง ทีมคุณลุงตำรวจ VS ทีมคุณครู
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ในฐานะทำอาชีพทนาย และทำคดีมาแล้วหลายคดีนะ ส่วนตัวพี่มองแบบนี้ ! พี่ไม่เห็นด้วยกับความเคลื่อนไหวของ ทั้งสองฝ่ายในคดีนี้เลย เพราะผลของมัน ได้ทำให้สังคมแตกออกเป็นสองฝ่าย เรียบร้อยแล้ว !
ไม่ว่าจะเป็นท่าทีในการแถลงสำนวนคดี ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 มันค่อนข้างเป็นไปในลักษณะของการชี้นำสังคม มากไปสักหน่อย เพราะมันมีลักษณะของการพยายามบอกกลายๆ ว่า คนนี้ทำ คนนั้นผิด ซึ่งมันไม่น่าจะถูกต้องสักเท่าไร
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ น่าจะแถลงเพียงว่า เรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่ตกจำเลยกระทำความผิด จึงมีความเห็นสั่งฟ้อง ในคดีอะไรก็ว่าไป
เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว ! ที่เหลือก็ไปสู้กันในศาล
ซึ่งเรื่องนี้ มันเป็นไปได้ไหมว่า อาจจะเป็นผลมาจาก การที่ทนายลุงตำรวจ เดินเกมรุกมากไปสักหน่อย !
แต่พี่ขอออกตัวก่อนนะ...ว่าพี่ไม่ได้อิจฉาน้องเขา ทนายอนันต์ชัย พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนกล่าวต่อไปว่า ....เพียงแต่การเล่นเกมรุกในลักษณะนี้ เมื่อผลมันพลิกออกไปอีกทาง มันมีผลต่อรูปคดี เพราะอีกฝ่ายเขาสามารถแก้ทางได้หมดเลย !
ซึ่งในฐานะทนาย มันไม่ควร ! ดีไม่ดี 50-50 เสี่ยงที่จะถูกฟ้องด้วยนะ เพราะมีบางครั้งไปพาดพิงตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงหลักฐานที่ฝ่ายตำรวจหยิบยกมาใช้ในคดี
และในวงการทนายเอง ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ อย่างกว้างขวางด้วย โดยเฉพาะการให้ข่าวกับสื่อ ทั้งเรื่องประเด็นสำคัญในคดี และการเปิดตัวพยานหมดเลยว่า อะไรยังไง ซึ่งมันมีผลนะ ในการต่อสู้คดี !
พี่จึงอยากจะเตือนน้องเขาเหมือนกันว่า ... ต้องระมัดระวังคำพูดของตัวเองให้ดีเวลาไปออกสื่อ บางครั้งพูดมากๆ มันเสี่ยงและอันตรายมากไป เพราะมันจะไม่ต่างอะไร กับการไปยั่วโทสะตำรวจเขาทั้งกรม เอากันจริงๆ ตอนนี้ สังคมส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้เทน้ำหนักไปให้ฝ่ายตรงข้ามเลยนะ ฉะนั้น จะทำอะไร เอาแค่หอมปากหอมคอ ก็คงพอแล้ว !
หากเป็นพี่ ตอนนี้พี่จะนิ่ง ยุติการโต้แย้งเรื่องพยานหลักฐานผ่านสื่อ กลบไต๋เอาไว้สู้ในศาล ไม่ดีกว่าหรือ ! ทนายชื่อดัง กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ท้ายที่สุด...ทนายอนันต์ชัย ขอทิ้งท้ายถึงแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า อยากให้ระลึกเอาไว้อย่างหนึ่งว่า “จำเลย ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยกระทำความผิดจริง” ฉะนั้น เราต้อง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ข่าวสารที่ได้รับด้วยความมีสติ และเปิดใจรับฟังข้อมูลให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ส่วนแฟนๆ ไทยรัฐ จะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้อย่างไร ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เพียงแต่ทำหน้าที่เสนอข้อมูลให้รอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาของทุกๆ ท่าน เท่านั้น !
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
- ติดตาม คลิปซีรีส์สกู๊ป ศึกชิงหวย 30 ล้าน จากทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ที่นี่ -
- สกู๊ปศึกชิงหวย 30 ล้าน ของทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ที่เกี่ยวข้อง -