เรื่องราวสุดซึ้งของคู่รักจากใจ ถึงแม้จะต่างเพศ คู่เกย์ลั่นวาจามั่น “ไม่มีวันปล่อยมือจากกัน” แม้ถูกปิดบังนาน 2 ปี ว่าติดเชื้อ HIV แต่ไม่คิดทอดทิ้ง (คลิกอ่านข่าว) จับมือกันสู้ต่อไปที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์นำเสนอเมื่อวาน ในวันนี้เราจะมาพูดคุยกันต่อถึงการดูแลและใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ติดเชื้อ HIV ว่าต้องเตรียมตัว และมีวิธีการป้องกันการติดเชื้ออย่างไร รวมถึงเทคนิคการครองรักครองเรือนให้มีความสุขนั้นมีเสน่ห์มัดใจอะไร เพราะรักเเท้ของเกย์ คนโดยมากมักตีตราว่าหายาก
ยังคงรักมั่นคง แม้ความจริงถูกเปิดเผย
“ผมไม่เคยคิดว่าจะเจอรักแท้ เมื่อก่อนเห็นในหนังก็ฝันอยากมี ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเจอจริงๆ ในชีวิตผมคลุกคลีกับทอม ดี้ บางคู่อยู่กันนาน 10 กว่าปี แต่พวกเกย์จะเปลี่ยนคู่บ่อย ผมแชร์เรื่องราวของเรา เพื่อให้สังคมฉุกคิดว่าคู่เกย์ก็อยู่กันได้อย่างยั่งยืน ไม่ถูกตีตราว่าจะอยู่กันได้ไม่นาน เราโอเคกันดีมาก ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องนอกใจ และผมไม่เคยมีความคิดนอกใจเลย เพราะรู้สึกว่ารักใครไม่ได้อีกแล้ว ให้ใจใครอีกไม่ได้แล้ว เพราะแฟนทำให้ผมมีความสุข ทำให้บ้านเย็น ใจนิ่ง
...
ผมมองว่าเขาเป็นคนปกตินะ ไม่ได้มองว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ เพราะความสามารถเขามีเยอะ หน้าที่การงานก็ดี เป็นคนเก่ง คนป่วยแทนที่จะมีจิตใจอ่อนแอ เขากลับแข็งแกร่งกว่าคนปกติด้วยซ้ำ ใจเขาจะนิ่งและมีสติมากกว่าผมด้วยซ้ำเมื่อเราเจอปัญหาชีวิตต่างๆ” นายเอ (นามสมมติ) กล่าวยืนยันรักแท้ที่จะมั่นคงตลอดไป แม้คู่ชีวิตติดเชื้อก็ตาม และยังไม่รังเกียจ จับมือคุยกัน ให้กำลังใจแฟนตลอดว่า “ไม่เป็นไรนะ เราไม่ทอดทิ้งนะ”
โดยนายเอยึดหลักการใช้ชีวิต 2 อย่าง คือ 1. มองศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ พ่อแม่สอนให้มองคนเป็นคน ไม่ให้ดูถูกคน ไม่ให้ตีตราคน 2. สถาบันที่เรียนจบมาก็สอนให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงทำให้ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข ผ่านอุปสรรคต่างๆ ในทุกเหตุการณ์
โรคเอดส์ กับเชื้อ HIV ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
นายบี (นามสมมติ) เป็นคู่ชีวิตที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) มา 6 ปี จากการร่วมรักกับแฟนในวัยคึกคะนองเมื่อตอนวัยรุ่นโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินความในใจของคนรัก พร้อมกล่าวว่า หลังจากนายเอ รู้ความจริงทุกอย่าง ตนรู้สึกเข้มแข็งมากกว่าเดิม และมีกำลังใจต่อสู้ยิ่งขึ้น หันมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างหนัก กินข้าวครบทุกมื้อ กินยาต้านเชื้อตรงเวลา ไปหาหมอตามนัดทุกครั้ง โดยมีนายเอให้กำลังใจด้วยคำพูดสุดห่วงใยว่า “ไม่เป็นไร เป็นแล้วคือเป็น มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ขออย่าทำร้ายตัวเอง ไม่กินยา ชีวิตมีอะไรต้องเดินต่อไปด้วยกันอีกเยอะ”
และนายบียังบอกข้อเท็จจริงที่คนในสังคมยังเข้าใจผิดกันมากว่า โรคเอดส์ กับเชื้อ HIV ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน HIV เป็นเชื้อไวรัส ส่วน เอดส์นั้น เป็นภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งจะเป็นหลังจากที่ร่างกายถูกทำร้ายจากไวรัส HIV อีกทีหนึ่ง ซึ่งเชื้อเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซท์ ที่มีชื่อว่าซีดีโฟ (CD4) เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนในที่สุด ดังที่นายบีมีอาการทางร่างกาย ฟ้องความจริงจากงูสวัด
นอกจากยาต้านเชื้อ ควรกินยาเสริม เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
สำหรับการรักษาอาการติดเชื้อ HIV นั้น นายบีบอกว่าปัจจุบันยังไม่มียาตัวไหนสามารถทำให้หายขาดจากการติดเชื้อ HIV ได้ ต้องรอลุ้นวิวัฒนาการต่อไป ซึ่งนอกจากนายบีกินยาต้านเชื้อ ไปหาหมอตามนัดแล้ว ก็มีผลข้างเคียง เพราะยาต้านมีคุณสมบัติกดภูมิ ต้านไวรัส หากสภาพอากาศเปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ จะไม่สบายบ่อย ด้วยความห่วงใย อยากให้คนรักอยู่ด้วยกันนานที่สุด นายเอจึงซื้อยาเสริมชนิดหนึ่งมาให้นายบี ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายดีขึ้นๆ ทุกครั้งที่ไปเจาะเลือดหาค่า ซีดีโฟ เครื่องจะบอกละเอียดถึงขั้นว่าแทบหาปริมาณเชื้อไม่พบ แต่ก็ยังเป็นอยู่
...
“ภูมิในร่างกายต่ำ เพราะยาต้านที่หมอให้มาจากสวัสดิการประกันสังคมกดไว้ ผมซื้อยาสำหรับกินเสริม ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว ทีละโหล เพื่อให้ภูมิที่ถูกกดนั้นดีขึ้น ทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคได้ ขวดละพัน ซื้อครั้งละ 10 ขวด แถม 2 เหลือตกขวดละ 800 กว่า กินวันละ 6 เม็ด” นายเออธิบายคุณสมบัติยา
หยุดตีตรา ดูแลทางกายแล้ว ต้องเสริมสร้างยา “ใจ” ด้วย
อย่างไรก็ตามนายเอ ยังแนะนำวิธีการดูแลคนรักที่ติดเชื้อว่า นอกจากการดูแลทางกายยามมีอาการป่วยแล้ว ต้องเสริมและดูแลความรู้สึกทางใจด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยวันธรรมดา ต่างฝ่ายต้องทำมาหากิน ทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ทุกวันอาทิตย์ทั้งสองจะพากันไปไหว้พระ ทำเมนูอาหารที่แฟนชอบให้กิน และต้องไม่ตีตรารังเกียจด้วยการกระทำและคำพูด ซึ่งแม่ของนายเอ ที่รู้ว่าแฟนของลูกติดเชื้อ HIV ก็ไม่รังเกียจแต่อย่างไร กลับช่วยหายามาให้กินด้วย
...
โดยนายเอให้มุมมองว่าการที่คนป่วยจะมีจิตใจแข็งแรง ต้องไม่ตีตราด้วยคำพูด เช่น “เธอติดเชื้อ HIV เธอต้องห่างจากฉันนะ” อีกทั้งการกระทำเดียดฉันท์ ต้องไม่ทำ ซึ่งทั้งสองปฏิบัติตัวต่อกันเหมือนคนปกติทั่วไป นอนเตียงเดียวกันทุกคืน โอบ กอด จับมือกันตามปกติ ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่สิ่งไหนที่ป้องกันได้ก็ทำเป็นประจำ
“กินข้าวต้องมีช้อนกลาง ซักผ้ารวมกันโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ กิจกรรมบางอย่างที่ทำก็ต้องสวมถุงมือด้วย เช่น ทายาที่แผล” นายบี เล่าถึงวิธีการเซฟของตนที่ทำมาตั้งแต่วันแรกที่คบกัน
อุปกรณ์สำคัญที่ควรมีติดบ้าน ในการดูแลผู้ติดเชื้อ
จากประสบการณ์ การดูแลคนรักที่ติดเชื้อมาร่วมปี นายเอบอกว่าเชื้อ HIV ไม่ได้ติดต่อกันง่ายทางลมหายใจเหมือนไข้หวัด และไม่สามารถติดกันได้ผ่านทาง กอด จูบ (ยกเว้นจะมีแผลในปาก และเป็นการจูบแลกลิ้น แลกน้ำลายกัน) หรือกินข้าวร่วมกัน จานเดียวกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน หรือแม้แต่ใช้ช้อน ส้อมคันเดียวกัน ใช้สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟันร่วมกัน
...
เชื้อ HIV จะติดต่อกันได้ผ่านทาง สารคัดหลั่ง เลือด เข้าสู่ร่างกายผ่านแผล (ต้องเป็นแผลสดๆ เท่านั้น) ดังนั้นไม่ควรใช้ใช้แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด ที่ตัดเล็บร่วมกัน สำหรับอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีติดบ้านไว้ คือ 1. หน้ากากอนามัย 2. ถุงมือแพทย์ 3. ยา 4. สำลีพันก้าน พร้อมแนะนำว่าควรซื้อครั้งละเยอะๆ จะคุ้มกว่า เพราะราคาเฉลี่ยต่อชิ้นต่ำ
“แฟนตัดเล็บเองไม่ค่อยได้ ผมจะตัดให้ตลอด เรามีกรรไกรตัดเล็บของใครของมัน เพื่อป้องกันการสับสน แปรงสีฟัน ที่โกนหนวด น้ำยาบ้วนปาก ผมจะเอาเทปสีแดงมาพันให้รู้ว่าเป็นของแฟน ส่วนเสื้อผ้า ถุงเท้า กางเกงใน เรายังใส่ด้วยกัน เพราะเรามองว่าไม่ได้ทำให้ติดเชื้อ และผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เวลาแฟนคัน และเกาจนเป็นแผล ผมก็ซื้อใส่ถุงมือ ใช้สำลีพันก้านแต้มยา แล้วแตะไปที่แผล มากกว่าการสัมผัสโดยตรง” นายเออธิบายวิธีดูแลและป้องกันอย่างปลอดภัย
รักอย่างปลอดโรค แม้มีเพศสัมพันธ์ทางปากก็ต้องใส่ถุงยาง
การรักให้ปลอดโรค ปลอดภัยนั้น นายบีแนะนำว่า ก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตกับใครสักคน ควรชวนกันไปตรวจเลือด เปิดใจกันแต่แรก และมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากคู่ชีวิตมีเชื้อ HIV ควรเรียนรู้การมีเพศสัมพันธ์ที่ลดการติดเชื้อ โดยกิจกรรมทางเพศชนิดใดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง ให้สวมถุงยางเมื่อจะร่วมเพศทั้งทางทวารหนัก หรือมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
“ถุงยางช่วยป้องกันได้จริง แม้กระทั่งการออรัลให้เซฟที่สุดก็ควรใส่ถุงยางอนามัยด้วยเหมือนกัน ผมอ่านเจอข้อมูลจากสภากาชาดไทย บอกว่าแม้กระทั่งการแปรงฟัน บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่ามีแผลภายในปาก หากทำออรัลกันบ่อย แม้จะสุ่มเสี่ยงติดเชื้อน้อยกว่าการสอดใส่ แต่ต้องระวัง ต้องอยู่ในขอบเขตของความมีสติ ไม่คุ้มกันกับสุขแค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมง แต่หลังจากนั้นทุกข์ตลอดชีวิต” นายเอ แนะเสริมถึงโทษของการมีเซ็กซ์ที่ไม่ปลอดภัย
รักแท้คู่เกย์ หายาก แต่เกิดขึ้นได้ ถ้า “หยุด”
สำหรับประเด็นนี้ นายเอบอกว่าที่จริงไม่มีอะไรยุ่งยาก สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์ ไม่ว่าชายหญิง เลสเบี้ยน เกย์ บางคนเป็นไบเซ็กชวล มีลูกมีเมียแล้ว แต่หยุดไม่ได้ รักเมีย แต่ต้องแอบกินกับผู้ชาย กลับมาบ้านก็ทำหน้าที่สามี และพ่อตามปกติ
“การเป็นเกย์ คือ มันมีคำตีตราว่าไม่มีรักที่ยั่งยืนหรอก กฎหมายก็ไม่รองรับ ผมอยากบอกสังคมว่า การเป็นเกย์ก็สามารมีรักแท้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต่างฝ่ายก็ต่างหยุด ซื้อสัตย์ต่อกัน ไม่นอกใจ นอกใจปุ๊บ บางทีจะมีผลตามมาหลายๆ อย่าง ได้ไม่คุ้มเสีย บางคนรักกันแต่ไม่ป้องกัน แต่หารู้ไม่ว่าบางคนคู่รักก็ออกนอกกรอบ”
และสิ่งสำคัญของชีวิตคู่อีกอย่างคือ ใจ ต้องนิ่ง มั่นคง และหยุดจริงๆ ดังที่นายเอบอกไว้ในตอนที่แล้วว่า “ผมไม่สามารถที่จะรักใครได้อีก ผมรักแฟน และรักมาก เขาอาจเคยทำผิดพลาด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในอดีต แต่มันเป็นเรื่องของอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ ผมเขื่อคำของพุทธองค์ ว่าอยู่กับปัจุบันดีกว่า ผมรู้ว่าปัจจุบันเรามีความสุขกัน อาจจะมีง้องแง้งกันบ้างแต่มันคือสีสัน เราอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เกิดจากความสงสาร มันเกิดจากความรักจริงๆ”
อย่างไรก็ตาม การครองคู่ให้สุขอุรา ซึ่งทำมาตลอดตั้งแต่ทำงานและใช้ชีวิตคู่กับนายเอนั้น นายบีชี้ว่าต้องเป็นความรักอันบริสุทธิ์ที่ต้องอาศัยคุณธรรมสำคัญ 4 ประการ คือ พรหมวิหาร 4 คือ 1.เมตตา ปรารถนาให้เขามีความสุข 2.กรุณา ปรารถนาให้เขาพ้นจากทุกข์ 3.มุทิตา พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดี 4.อุเบกขา ทำใจเป็นกลาง วางเฉย
“อยากให้ทุกคน เซฟตี้ ตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมั่นตรวจเลือด อย่ามั่ว เมื่อเป็นแล้วอย่าคิดฟุ้งซ่าน ให้หากิจกรรมทำ เอาวิชาความรู้มาทำให้ใจนิ่ง มากกว่าอยู่เฉยๆ แล้วคิดฟุ้งซ่าน เรียนต่อก็ได้ ซึ่งตอนนี้แฟนกำลังเรียน ป.ตรี ใบที่ 3 แล้ว” นายเอฝากแง่คิดทิ้งท้าย
ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายๆ คนคิด เพียงแค่เปิดใจ และมองเหมือนเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่แสดงทีท่ารังเกียจ หรือกลัว เท่านี้พวกเขาก็มีกำลังใจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวเกี่ยวข้อง