MH370 หรือจะสาบสูญตลอดกาล?

แม้เวลาจะผ่านมา 3 ปีกว่า จนบัดนี้ยังไม่พบซากของเครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH370 สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส และศพของลูกเรือและผู้โดยสาร 239 ราย ที่หายสาบสูญระหว่างบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 57 กระทั่งวันนี้ แม้จะมีทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ออกมาหลากหลายทฤษฎี แต่ก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ทำให้วันนี้ MH370 จึงกลายเป็นปริศนาที่ลึกลับที่สุดในประวัติการณ์...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยจากชายคนหนึ่ง ซึ่งเขาขอให้เรียกว่า “หลี” โดยหลีระบุว่าเป็นญาติของ “Chew Kar Mooi” หนึ่งใน 239 เหยื่อที่หายสาบสูญไปกับเที่ยวบิน MH370

“ครอบครัวเรายังมีความหวังว่า..พี่สาวยังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ยังไม่เห็นศพ” น้องชายวัยอ่อนกว่า 2 ปี บอกถึงความหวังอันริบหรี่ของครอบครัวที่จะได้เจอพี่สาวผู้หายสาบสูญไปอย่างปริศนานานกว่า 3 ปี

...

นายหลีเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางสาว Chew Kar Mooi ย้อนเล่าถึงวันเกิดเหตุว่า “พี่สาวผมเป็นพนักงานธนาคาร Maybank ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในตำแหน่งที่สูง โดยต้องเดินทางไปประชุมหลายที่ รวมถึงที่ปักกิ่งในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่า มันเป็นโชคชะตาของเขาจริงๆ เพราะว่า เขาจะบินไปก่อนหน้านั้นวันหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ใจว่า เขาเลื่อนบิน หรือบริษัทเลื่อนประชุม หรือเครื่องบินล่าช้า เขาเลยต้องมาบิน วันที่ 8 ก็เลยต้องมาประสบเหตุบนเครื่องบินมรณะ”

ปกติพูดคุยอะไรกับพี่สาวบ้าง? นายหลี เล่าว่า “ก็คุยเรื่องปกติครับ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เกี่ยวกับเรื่องงานบ้าง เพราะพี่สาวทำงานแบงก์ และก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงเหมือนกัน เขาต้องบินไปประชุมหลายที่ บางทีเวลาเราเข้าไปคุยก็จะสอบถามถึงหลักการในการทำงานของเขามากกว่า เพราะเขาจะให้คำปรึกษาได้ดีครับ”

“..ไม่ว่าใครเดือดร้อน พี่สาวผมช่วยเหลือหมด และเป็นที่ปรึกษาให้น้องๆ ได้ดีมาก..” นายหลี พูดถึงความประทับใจในตัวพี่สาว

ครอบครัวเรามีความหวังแค่ไหน? นายหลี นิ่งเงียบก่อนพูดขึ้นมาว่า “...ที่จริงในใจก็ภาวนาลึกๆ ว่า ยังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เรายังไม่เห็นศพพี่สาว...ถ้ามีโอกาสที่เขาจะสามารถรับรู้ได้อยากบอกว่า ผมคิดถึงมากครับ”

เมื่อถามถึงการดำเนินการของทางครอบครัวว่าจะทำอย่างไรจากนี้ต่อไป นายหลี เผยว่า ครอบครัวพยายามเดินหน้าขอความช่วยเหลือในการค้นหาพี่สาวและคนบนเครื่องอยู่ตลอด ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือว่าไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลมาเลเซียด้วยเหมือนกัน ตราบใดที่รัฐบาลมาเลเซียไม่เดินหน้าเรื่องนี้ และยังด่วนสรุปอยู่แบบนี้ก็เหมือนกับเรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้ว

“แม้ว่าในเบื้องต้นรัฐบาลมาเลเซียจะเยียวยาให้จำนวน 20,000 ริงกิต (ประมาณ 1.57 แสนบาท) แต่ไม่ว่าเงินจะมากมายแค่ไหน มันไม่พอกับชีวิตคนหรอกครับ” น้องชายวัย 31 กล่าวถึงความช่วยเหลือของรัฐบาลแก่ครอบครัว

แล้วเป็นเพราะเหตุใด รัฐบาลมาเลเซียจึงรีบออกมาด่วนสรุปทุกครั้ง ทั้งที่ข้อมูลยังไม่ชัดเจน? ผู้สื่อข่าวถามต่อ นายหลี ตอบว่า “คือ มันน้ำท่วมปาก ผมก็พูดยาก ลองสังเกตว่า...ทำไมรัฐบาลจีนถึงไม่ออกมาพูดสักคำ ทั้งที่มีผู้โดยสารชาวจีน 153 คน และทำไมหลังเกิดเหตุไม่กี่วัน บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ถึงบินมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นเพราะอะไร?”

...

แต่ดูเหมือนว่า ครอบครัวนี้จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดที่ว่า MH370 บรรทุกอุปกรณ์บางอย่างที่จะนำไปส่งมอบให้กับประเทศปลายทาง แต่ทางชาติมหาอำนาจ หาทางสกัดโดยใช้กลวิธีบางอย่างเพื่อให้เครื่องบินพาณิชย์ลำนี้ไปลงจอดบนเกาะแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรอินเดีย...

นายหลี เล่าว่า หลังจากเกิดเหตุ ทุกคนในครอบครัวเหมือน “น้ำท่วมปาก” ทุกคนเสียใจแต่พูดไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้มันไม่ใช่ “โศกนาฏกรรม” ที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่มันเกี่ยวกับความตั้งใจในเรื่อง “การเมือง” เพราะเที่ยวบิน MH370 นั้น ได้บรรทุกของบางอย่างที่ชาติมหาอำนาจต้องการ! ทำให้คนในครอบครัว และคนอื่นๆ อีกสองร้อยกว่าชีวิต ต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ของเที่ยวบินนี้

น้องชายพนักงานธนาคาร เหยื่อ MH370 เล่าต่อว่า คนมาเลย์คุยกันทั่วบ้านทั่วเมืองถึงเรื่องนี้ รวมทั้งเพื่อนของตนที่เป็นนักการเมือง ยังเล่าให้ฟังถึงมูลเหตุครั้งนี้ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” โดยชี้ให้เห็นข้อสังเกตเรื่องเส้นทางการบิน เพราะว่าเส้นทางการบินจากมาเลเซียต้องผ่านประเทศไทยก่อน แล้วมุ่งหน้าไปปักกิ่ง แต่ที่ผิดสังเกตคือ เครื่องบินกลับบินย้อนมาและจบลงทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย

...

“เมื่อลองพิจารณาจากเส้นทางเรดาร์ MH370 จะต้องบินผ่านไทย เพื่อไปปักกิ่ง แล้วเหตุผลอะไรที่ต้องบินย้อนกลับ และที่พบชิ้นส่วนเครื่องบินที่บริเวณคาบสมุทรอินเดีย มันคือเรื่องจริง คล้ายกับการเจตนาให้เครื่อง บินไปที่เกาะแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งตรงนั้นเป็นฐานของมหาอำนาจชาติหนึ่ง หลังจากเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็ปล่อยลอยแพเลย อันนี้ในความคิดผมนะ แล้วตรงนั้นเป็นทะเลน้ำเชี่ยว ซึ่งยากที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ ผมคิดว่าจุดตกน่าจะอยู่แถวนั้น” นายหลี ให้ความเห็น

...

คนมาเลย์ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง? ผู้สื่อข่าวถาม นายหลี ตอบว่า ชาวมาเลย์ยังไม่ทันที่จะหายจากอาการโศกเศร้าหลังการสาบสูญของ MH370 อีก 4 เดือนต่อมาเที่ยวบิน MH17 มุ่งหน้าจากท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัม สู่ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ ถูกยิงตกในภาคตะวันออกของยูเครนที่กำลังมีการต่อสู้ระหว่างกองทัพยูเครนกับกลุ่มก่อกบฏนิยมรัสเซีย ทำให้ลูกเรือและผู้โดยสาร 298 รายเสียชีวิตทั้งหมด

กระนั้นแล้วชาวมาเลย์ยิ่งเศร้าสลดเป็นทวีคูณ ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาชีวิตของประชาชนเข้ามาเสี่ยง

นายหลี บอกว่า ... “ความเศร้าโศกของคนมาเลย์ครั้งนี้ ไม่แตกต่างกับวันที่ประเทศไทยต้องสูญเสียประชากรจากคลื่นยักษ์สึนามิเลย”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนมาเลย์บางกลุ่มจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลถึงเรื่องดังกล่าว แต่ก็น่าเห็นใจรัฐบาลที่ตกอยู่ในสถานะ "น้ำท่วมปาก" เช่นเดียวกัน

“อันที่จริงรัฐบาลมาเลย์เองไม่อยากให้เราต้องพูดถึงเรื่องนี้มาก เขาจะกำชับไม่ให้เราพูดอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งตัวผมเองก็ให้ข้อมูลเท่าที่ตอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่คนในครอบครัวเราเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็อยากบอกกับรัฐบาลว่า อย่าทอดทิ้งครอบครัวเราเลยครับ อย่าทอดทิ้งครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกคน เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองเท่านั้นครับ” นายหลี ฝากทิ้งท้าย.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน