ตอนที่ 17

อัลบั้ม: นิยายเรื่อง "ล่ารักสุดขอบฟ้า"

ในที่สุดสินธรขับรถมาถึงจุดนัดพบใกล้ชายแดนด้านติดประเทศไทย ฐากูรวิ่งนำชาวบ้านอาสาออกจากที่ซ่อนเข้ามาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สินธรยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะเปิดประตูรถให้องค์สาวิตรีลงมา เขาเห็นฐากูรมองงงๆ อธิบายว่าพระองค์ช่วยพวกเราให้รอดมาได้ องค์อินทราตามลงมาโดยมีหฤทัยคอยประคอง

“ฐากูรหัวหน้าหมู่บ้านภูสายธารที่คอยช่วยเหลือเกล้ากระหม่อมกับท่านคามินพ่ะย่ะค่ะ ฐากูรจะพาพวกเราข้ามชายแดน จากนั้นเกล้ากระหม่อมจะติดต่อธรรมรัตน์เพื่อขอความช่วยเหลือ” สินธรรายงาน

“ดี เสด็จออกไปให้พ้นจากรายาก่อน เสด็จพี่จึงจะปลอดภัย รีบเสด็จเถอะเพคะ หม่อมฉันทูลลา” องค์สาวิตรีขยับจะไป องค์อินทราห้ามไว้ ขืนกลับไปจะเป็นอันตราย

“พี่วิฑูรไม่ทำอะไรหม่อมฉันหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันต้องกลับไปปกป้องมาคี ปกป้องผลประโยชน์ของรายาและราชบัลลังก์เพื่อรอจนกว่าเสด็จพี่จะกลับมา...หฤทัย ฝากถวายการดูแลองค์ราชาแทนเราด้วย”

สินธรเร่งให้รีบไป แล้วช่วยกันกับฐากูรประคององค์อินทรา เดินได้ไม่กี่ก้าว รถของวิฑูรพร้อมทหารเต็มคันรถขับมาดักหน้า ก่อนจะกรูกันลงจากรถพร้อมอาวุธครบมือ หฤทัยวิ่งเข้าไปขอร้องให้วิฑูรปล่อยองค์อินทราไป กลับถูกเขาตบกระเด็นฐานแว้งกัดพ่อตัวเอง เธออ้างว่าสิ่งที่ท่านทำมันผิด ท่านกำลังทรยศต่อราชบัลลังก์และแผ่นดินรายา

“ฉันกำลังทำให้รายาก้าวไปสู่ความเจริญต่างหาก... จับพวกกบฏให้หมด”

“หยุดนะ ห้ามแตะต้องพวกเขาในนามของผู้สำเร็จราชการ เราขอสั่งให้พวกเจ้าถอนกำลังกลับไปให้หมด” องค์สาวิตรีเสียงเฉียบ วิฑูรหาเกรงกลัวไม่ สั่งให้ทหารจับตัวทุกคนไว้ องค์สาวิตรี สินธร ฐากูร วายุและหฤทัยรีบพาองค์อินทราหนี โดยมีคนของฐากูรช่วยยิงคุ้มกันให้

พวกนี้เป็นแค่ชาวบ้านอาสาสู้สุเทษกับทหารไม่ได้ถูกยิงตายเรียบ วิฑูรกับลูกน้องไล่ล่าองค์อินทรามาถึงริมลำธาร ฐากูรเห็นท่าไม่ดีบอกให้สินธรพาทั้งสองพระองค์ข้ามไปก่อน ตนกับวายุจะยิงสกัดไว้ให้ สองคนสู้ทหารจำนวนมากกว่าไม่ไหว วายุถูกคมกระสุนตายคาที่ ขณะที่ฐากูรถูกยิงที่แขนล้มคว่ำ สินธรหันมาช่วยยิงต่อสู้จนกระสุนหมด สุเทษได้ทียิงขาเขาทรุดฮวบ แล้วตามมาเหยียบอกจะยิงซ้ำ องค์อินทราร้องห้ามเสียงลั่น หากอยากได้ชีวิตพระองค์ก็ให้มาเอาได้เลย แต่ต้องปล่อยองค์สาวิตรีกับหฤทัยไป องค์สาวิตรีรีบเอาตัวเองบังพระองค์ไว้

“ไม่...ฆ่าน้องซะแล้วปล่อยองค์ราชาไป”

“ทรงสนิทเสน่หากันเยี่ยงนี้ เกล้ากระหม่อมคงต้องให้เสด็จไปด้วยกันแล้วล่ะ” วิฑูรลั่นกระสุนใส่องค์สาวิตรี โดยไม่มีใครคาดคิด องค์อินทราเอาตัวเองรับ
กระสุนแทน นายพลชั่วยิ้มสะใจจะยิงซ้ำ หฤทัยพุ่งแย่งปืน สินธรกัดฟันข่มความเจ็บปวดเตะขาพับสุเทษล้มลงแล้วโดดขึ้นคร่อม วิฑูรผลักหฤทัยพ้นทาง หันปืนจะยิงองค์สาวิตรี

ทันใดนั้นคามินขับรถตะลุยเข้ามาพร้อมกับยิงปืนใส่ กระสุนถูกไหล่ขวาวิฑูรเลือดสาด แล้วหันไปกราดยิงพวกทหารซึ่งวิ่งหนีเข้าหาที่กำบังกันจ้าละหวั่น สุเทษรีบวิ่งไปประคองวิฑูรด้วยความเป็นห่วง

“พี่คามิน...พี่คามินมาช่วยเราแล้ว รีบเสด็จเถอะเพคะ” หฤทัยฉุดองค์สาวิตรีขึ้นรถ แต่พระองค์ขืนตัวไว้

“เราทิ้งมาคีไปไม่ได้ เจ้าไปเถอะ” องค์สาวิตรีสะบัดมือออก หันไปหยิบปืนที่ตกอยู่เอาจ่อหัวสุเทษ “สั่งให้ทหารหยุดยิงเดี๋ยวนี้” ท่าทีเอาจริงของพระองค์ทำให้เขาจำต้องทำตาม สินธรช่วยกันกับหฤทัยประคององค์อินทราขึ้นรถ คามินไม่รอช้าเร่งเครื่องออกไปอย่างรวดเร็ว องค์สาวิตรีมองตามอาลัยอาวรณ์ สุเทษเห็นพระองค์เผลอแย่งปืนไปได้ แล้วสั่งให้ทหารคุมตัวเอาไว้ วิฑูรจะให้ตามไปจับตัวองค์อินทรากลับมา แต่สั่งยังไม่ทันจบก็สลบไปก่อน...

กว่าโชคจะมาช่วยแก้มัดให้มัทนา เล่นเอาเธอตะโกนขอความช่วยเหลือจนเสียงแหบแห้ง เขาอดกระเซ้าไม่ได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอเล่นแรงไม่ใช่น้อย

“ค่ะ แรงมาก ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเอาคืน มัทขอยืมรถอีกคันนะคะ” มัทนายังไม่ทันจะออกจากบ้านพัก คามินวิ่งหน้าตื่นเข้ามาขวางไว้ เธอแค้นใจจัด ขยุ้มคอเสื้อทันที ขู่จะฆ่าเขาที่ทำกับเธอแบบนี้

“คุณมัทนา คุณจะฆ่าผมก็ได้ แต่ตอนนี้ช่วยองค์ราชาก่อน ผมขอร้อง”

ooooooo

วิฑูรไม่บาดเจ็บร้ายแรงอะไร หมอจึงให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ อสิตซึ่งตามมาเยี่ยมถึงบ้านไม่วายบ่นอุบ องค์อินทราหนีไปได้แบบนี้ เท่ากับบัลลังก์ว่างไม่มีกษัตริย์ แล้วใครจะอนุมัติเรื่องสัมปทานให้ตน

“บัลลังก์ไม่ว่างหรอก เพียงแต่ผมจะให้ใครขึ้นไปนั่งเท่านั้น เสี่ยไม่ต้องกลัวหรอก”

อสิตยุให้วิฑูรขึ้นครองราชย์เสียเอง ในเมื่อตอนนี้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของเขาแล้ว รับรองไม่มีใครกล้าคัดค้าน นายพลชั่วถึงกับเคลิ้มตาม จังหวะนั้นเจ้าชายมาคีเอะอะโวยวายเข้ามา

“ท่านลุง เราไม่เข้าใจ ในวังมีองครักษ์เฝ้าแน่นหนา พวกกบฏมาลักพาตัวเสด็จพ่อไปได้อย่างไร”

วิฑูรบอกให้อสิตออกไปก่อน แล้วหันไปโกหกเจ้าชายมาคีว่าคามินหลอกให้หฤทัยร่วมมือด้วย เขาเองไม่คาดคิดว่าที่เธอมาดูแลองค์อินทราก็เพื่อเปิดทางให้พวกกบฏ โชคดีที่เขาเสี่ยงชีวิตชิงตัวองค์สาวิตรีกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะต้องเสียไปทั้งสองพระองค์ เจ้าชายมาคีไม่เข้าใจว่าพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่

“อำนาจไงพ่ะย่ะค่ะ ไอ้คามินเอาองค์ราชาไปเป็นตัวประกันเพื่อบังคับให้ฝ่าบาทมอบบัลลังก์ให้”

พระองค์หลงเชื่อ สั่งให้วิฑูรทำจดหมายแจ้งไปยังทุกประเทศว่าคามินเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าเจอตัวให้รีบจับทันที แต่ต้องจับเป็นเท่านั้น พระองค์ต้องการจะลงโทษคนทรยศด้วยมือตัวเอง แล้วเดินจากไป

“ไอ้ลูกแหง่ตาขาว ฉันจะให้แกสั่งฉันได้อีกไม่นานหรอก” วิฑูรเสียงกร้าว...

ขณะที่เจ้าชายมาคีหลงกลนายพลชั่วอีกครั้งหนึ่ง ที่ห้องพักคนไข้ ในโรงพยาบาลหรูกลางกรุงเทพฯ

คามินซึ่งงีบหลับไปด้วยความอ่อนเพลียหลังจากการให้เลือด ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิด เห็นบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นพาสินธรที่เพิ่งทำแผลที่ขาเสร็จเข้ามา คามินถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“กระสุนไม่ถูกเส้นเลือดใหญ่ ไม่เป็นไรครับแล้ว ท่าน เห็นว่าถวายเลือดให้องค์ราชา มหัศจรรย์จริงๆที่ท่านมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับองค์ราชา” ยังไม่ทันขาดคำ เหมันต์ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดเปิดประตูเข้ามา คามินถามอย่างร้อนใจว่าพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยแล้วใช่ไหม เขาฝืนยิ้ม

“ปลอดภัยแล้วครับ กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญเพียงแต่ยังทรงอ่อนแออยู่ ทรงต้องการจะพบคุณคามิน”

คามินลุกออกไปทันที สินธรจะตามไปเฝ้าพระองค์ด้วย เหมันต์ขอร้องอย่าเพิ่งไปตอนนี้ องค์อินทรามีธุระสำคัญต้องคุยกับคามิน ครู่ต่อมาราชองครักษ์หนุ่มมายืนอยู่ต่อหน้าองค์อินทรา ถามด้วยความเป็นห่วงว่าทรงเป็นอย่างไรบ้าง พระองค์ไม่อยากให้เขาเป็นกังวล จึงโกหกว่าได้เลือดของเขามาแทบหายเป็นปลิดทิ้ง ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างเตียง ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวที่ไม่สามารถปกป้องพระองค์ จนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“อย่าพูดอย่างนั้นคามิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราดีใจแค่ไหนที่เห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่” องค์อินทราเอื้อมมือมาลูบหัวคามิน “อย่าโทษตัวเองเลยนะ บางอย่างโชคชะตาเบื้องบนกำหนดมาแล้ว แต่ฟ้าก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เราสองคนถึงได้พบกันอีก ทำให้เรามีโอกาสพูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับเจ้ามาตลอด”

ธรรมรัตน์เห็นพระองค์หอบเหนื่อย แนะให้พักผ่อนก่อน พระองค์ยังมีเวลาพักอีกนาน แล้วถามว่าเขาจัดการเรื่องที่พระองค์ขอแล้วใช่ไหม ธรรมรัตน์จัดการเรียบร้อยแล้ว ทีแรกหมอทำท่าจะไม่อนุญาต แต่เขากล่อมจนยอม

“เพียงแต่ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดเพราะมันเสี่ยงมาก”

“เรื่องอะไรกันหรือครับ” คามินมองธรรมรัตน์อย่างรอคำตอบ องค์อินทราชิงตอบคำแถมแทน

“เราอยากให้ธรรมรัตน์พาเราไปพบคนคนหนึ่ง”

ooooooo

ที่บ้านเกียรติกำจร มัทนาเห็นหฤทัยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตนเองจัดหามาให้เสร็จเรียบร้อย รีบชวนไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมอาการป่วยขององค์อินทรา ท่านหญิงมาณวิกาเข้ามาขวางไว้ แดกดันว่าถ้าลูกไปที่นั่นแล้วจะช่วยอะไรใครได้ นอกจากจะทำให้ใครต่อใครวุ่นวาย

“มัททราบค่ะ ถ้าคุณแม่ว่าการที่มัทแอบพาคามินหนีไปมันผิดมาก เอาไว้มัทกลับจากโรงพยาบาลแล้ว มัทจะให้คุณแม่ลงโทษ หนักแค่ไหนก็ได้นะคะ”

“ไม่หรอกมัทนา ลูกยังไม่รู้ว่าความผิดที่ลูกทำมันใหญ่หลวงแค่ไหน ชีวิตของคุณคามินมีค่ามากกว่าที่ลูกคิด”

“แต่มันเป็นความต้องการของเขาที่จะพลีชีพเพื่อองค์ราชา”

“แต่องค์ราชาไม่ทรงต้องการอย่างนั้น เช่นเดียวกับชาวรายาทุกคนที่คงไม่ยอมสูญเสียเจ้าชายรัชทายาทของพวกเขาเด็ดขาด” คำพูดของท่านหญิงมาณวิกาทำให้ทั้งมัทนาและหฤทัยต่างงุนงง เพราะพวกเรากำลังพูดถึงคามิน ไม่ใช่เจ้าชายมาคี ท่านหญิงมาณวิกายืนยัน คนที่ตนเองพูดถึงคือเจ้าชายคามินองค์รัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งรายา คราวนี้สองสาวถึงกับตะลึง จากนั้นท่านหญิงมาณวิกานำรูปถ่ายของปรารถนามาให้ทั้งคู่ดู และเล่า
เรื่อง ราวคร่าวๆให้ฟัง หฤทัยไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง

“นี่สินะ เขาว่าเรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย คุณแม่รู้เรื่องนี้มานานแล้วหรือคะ”

“คุณพ่อเพิ่งเล่าให้แม่ฟังเมื่อไม่นานนี้เอง แม่ไม่เคยเจอคุณปรารถนา รู้แต่ว่าเธอเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกับคุณพ่อมาก”

หฤทัยอดสงสัยไม่ได้ ถ้าปรารถนาเป็นแม่ของเจ้าชายคามิน แล้วผู้หญิงรายาที่เป็นนางรำคนนั้นเป็นใคร...

ขณะที่มัทนาล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดของเจ้าชายคามิน ธรรมรัตน์พาองค์อินทราและเจ้าชายคามินมายังหลุมฝังศพของปรารถนาที่อยู่บนเกาะ โดยมีหน่วยอารักขาของธรรมรัตน์คอยดูแลความปลอดภัยอยู่รอบเกาะ อีกทั้งยังมีพยาบาลสองคนตามมาดูแลเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

องค์อินทราหยิบพวงมาลัยดอกไม้สดจากมือธรรมรัตน์ ยื่นให้เจ้าชายคามิน บอกให้เอาไปไหว้ศพแม่ที่อยู่ในหลุมแห่งนี้ เขาถึงกับตะลึง

“นี่คือหลุมศพของแม่เจ้า แม่ของเจ้าไม่ใช่ชาวรายา แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงไทยชื่อปรารถนา นางรำคนนั้นเป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นเพื่อให้คนในวังไม่สนใจเจ้า เจ้าจะได้ปลอดภัย”

ธรรมรัตน์หยิบรูปถ่ายของปรารถนาส่งให้เจ้าชายคามินซึ่งรับมาดูด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ชมว่าสวยเหมือนที่ตนเคยฝันเห็นไม่มีผิด แล้วถามหาพ่อของตัวเองว่าเป็นใคร องค์อินทราเอื้อมมือไปจับบ่าเจ้าชายคามินบีบเบาๆ

“เราคือพ่อที่แท้จริงของเจ้า คามินลูกรัก”

เจ้าชายคามินถึงกับช็อก ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง ธรรมรัตน์ช่วยยืนยันอีกแรงหนึ่ง เพราะตัวเองเป็นเพื่อนรักของปรารถนา และเป็นคนพาเจ้าชายคามินไปรายาหลังจากเธอเสียชีวิต แต่ตอนนั้นเจ้าชายยังเด็กมากคงจำไม่ได้ องค์อินทราขออยู่ตามลำพังกับลูก ธรรมรัตน์ทำความเคารพแล้วถอยออกไป

จากนั้นเรื่องราวในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วก็พรั่งพรูออกจากปากองค์อินทรา เริ่มตั้งแต่ได้พบกับปรารถนาตอนที่พระองค์มาศึกษาต่อในเมืองไทยและได้รู้จักคบหาเป็นสหายรักกับธรรมรัตน์ ความรักระหว่างองค์รัชทายาทแห่งรายากับหญิงไทยค่อยๆงอกงาม พระองค์รักเธอคนนี้อย่างหมดหัวใจจนลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนและมีหน้าที่ต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพียงใด พูดถึงตรงนี้องค์อินทราหยุดไปอึดใจ ก่อนจะเล่าเพิ่มเติมว่า

“เสด็จปู่ของเจ้าสิ้นพระชนม์กะทันหัน พ่อต้องอภิเษกกับสาวิตรี หญิงที่เสด็จย่าของเจ้าทรงเห็นว่าเหมาะสมเพื่อจะขึ้นราชาภิเษก นับจากนั้นพ่อก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาหาแม่เจ้าอีกจนกระทั่งปรารถนาให้กำเนิดเจ้า พอพ่อรู้ ว่าปรารถนาจากไปแล้ว พ่อก็ตัดสินใจขอให้ธรรมรัตน์พาลูกไปรายา”

องค์อินทราขอให้ลูกยกโทษให้ที่พระองค์ไม่กล้าพอจะบอกความจริงกับทุกคนจนทำให้ลูกต้องถูกตราหน้าว่าเป็นลูกนางรำที่หนีตามผู้ชาย ความผิดที่พระองค์ได้ทำไว้กับลูกและปรารถนาชดใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด

“เกล้ากระหม่อมจะให้อภัยต่อผู้ที่ประทานชีวิตให้เกล้ากระหม่อมได้อย่างไร พระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงเลี้ยงดูเกล้ากระหม่อมจนถึงทุกวันนี้ใหญ่หลวงจนชาตินี้คงทดแทนไม่หมด”

พระองค์ดีใจที่ลูกไม่โกรธ เอื้อมมือมาแตะบ่าเขาอีกครั้ง ปรากฏว่ามีเลือดซึมออกมาจากบาดแผล เจ้าชาย คามินเห็นท่าไม่ดี แนะให้กลับโรงพยาบาล พระองค์ไม่ยอมกลับ อ้างว่าไม่เป็นอะไร บอกให้เขาเลิกเรียกพระองค์ว่าองค์ราชาและให้เรียกว่าพ่อแทน แล้วดึงตัวมากอด

สองพ่อลูกพากันร้องไห้ด้วยความปีติ องค์อินทราฝากเจ้าชายคามินเอาแผ่นดินรายากลับคืนมาจากวิฑูรให้ได้ เจ้าชายรับปากจะทำตามที่เสด็จพ่อต้องการ องค์อินทราทนความเจ็บปวดไม่ไหวกระอักเลือดออกมา ธรรมรัตน์ตกใจรีบเข้าไปดู องค์อินทราซึ่งหายใจรวยริน เห็นปรารถนาในชุดขาวยืนยิ้มพร้อมกับยื่นมือมาให้

“ปรารถนา ในที่สุดเธอก็มา ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันอีกแล้ว ฉันสัญญา” พูดได้แค่นั้นก็สิ้นพระชนม์

พยาบาลวิ่งมาตรวจชีพจร ไม่พบสัญญาณชีพ เจ้าชายคามินพยายามเขย่าตัวเสด็จพ่อให้ตื่นแต่ไร้ผล

ooooooo

หฤทัยได้ฟังเรื่องราวแสนอาภัพของเจ้าชายคามินแล้วอดร้องไห้ด้วยความสงสารไม่ได้ แม้จะอยู่ใกล้องค์อินทราแค่เอื้อมก็ไม่อาจสัมผัสได้ มัทนาหยิบทิชชูยื่นให้ ปลอบว่าถึงอย่างไรพระองค์ก็ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดเสด็จพ่อและทำหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง หฤทัยขอบคุณเธอที่ช่วยดูแลเจ้าชายคามินตอนที่อยู่ที่เมืองไทย

“มันเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่พึงกระทำต่อเพื่อนอยู่แล้ว”

“ชีวิตของเจ้าชายคามินไม่ได้มีค่าแค่เพียงเป็นองค์รัชทายาท แต่ทรงเป็นหัวใจของชาวรายาและดวงพระหทัยขององค์อินทราด้วย”

“และพระองค์ก็ยังเป็นหัวใจของ...” มัทนาจะบอกว่าเป็นของตนเองด้วยแต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นคู่สนทนาจ้องอยู่ รีบเปลี่ยนทันที “...ของคุณด้วย”

หฤทัยยังไม่ทันจะตอบอะไร ท่านหญิงมาณวิกาวิ่งน้ำตานองหน้าเข้ามาแจ้งข่าวร้ายว่าองค์อินทราสิ้นพระชนม์แล้ว...

ในเวลาเดียวกัน ที่ตำหนักองค์สาวิตรี เจ้าชายมาคี มองเสด็จแม่ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาโทรมไปในชั่วข้ามคืนด้วยความสงสารจับใจ ดึงผ้ามาห่มให้เสร็จ ขยับจะออกจากห้อง มินตราเดินเข้ามาพอดี พระองค์จึงฝากเธอดูแลเสด็จแม่ที่เพิ่งหลับไปให้ด้วย แล้วก้าวฉับๆออกจากห้อง มินตรารีบวิ่งไปดักหน้าไว้

“คุณหฤทัยกลายเป็นกบฏลักพาตัวองค์ราชาไป แล้วฝ่าบาทจะทรงอภิเษกกับใครเพคะ”

พระองค์ชักสีหน้าทันที ตอนนี้เสด็จพ่อหายตัวไป แถมเสด็จแม่ก็ไม่สบาย ใครจะมีใจคิดถึงเรื่องนี้ เตือนเธอให้หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว หากทนรำคาญไม่ไหวพระองค์จะจับเธอขังคุก แล้วผละไปอย่างหงุดหงิด มินตรามองตามหน้าเหี้ยม

“นังหฤทัยพ้นทางไปแล้ว ผู้หญิงที่ฝ่าบาทต้องทรงอภิเษกด้วยก็เหลือเพียงคนเดียว คือหม่อมฉัน”...

ได้เลื่อนตำแหน่งไม่ทันข้ามวัน สุเทษกร่างคับวัง ถึงขนาดเอาสีนิลม้าทรงตัวโปรดของเจ้าชายมาคีไปขี่เล่น พระองค์มาเห็นเข้าก็ไม่พอใจ ตำหนิอย่างแรงว่ามีสิทธิอะไรเอามันไปขี่

“ตอนนี้หม่อมฉันเป็นหัวหน้าราชองครักษ์แล้ว มีสิทธิควบคุมองครักษ์รวมทั้งพาหนะและม้าทรงทุกตัว”

“มากไปแล้ว เป็นแค่หัวหน้าองครักษ์ บังอาจกล้ามาท้าทายเจ้าชายรัชทายาท เราขอปลดเจ้า...ทหารจับมันไปลานลงทัณฑ์” สิ้นเสียงบัญชา ทหารองครักษ์

กรูเข้าหา สุเทษซัดมวยรายาใส่ไม่กี่หมัดพวกนั้นก็หมอบราบคาบ เจ้าชายมาคีโกรธมาก จู่โจมใส่กลับถูกสุเทษอัดกระเด็น พระองค์โวยวายจะเอาเรื่อง สุเทษปรามาสว่าฝีมือการต่อสู้ของพระองค์ยังห่างไกลตนเองนัก คงต้องกลับไปฝึกใหม่ให้เก่งเสียก่อน

ชวาลซึ่งแอบดูอยู่ ทนไม่ได้ พอสุเทษหันหลังจะกลับ เขาเอาขี้ม้าปาใส่ สุเทษขยะแขยงสุดๆ รีบวิ่งไปล้างตัว เจ้าชายมาคีเจ็บใจที่ตัวเองไม่แกร่งพอจะสู้เขาได้ หันไปชกต้นไม้ระบายอารมณ์ ชวาลได้แต่แอบมองพระองค์ด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตัดใจเดินหนี พระองค์เห็นหลังเขาไวๆ วิ่งตามมาร้องเรียกให้หยุดก่อน

“เจ้าใช่ไหมที่ปาขี้ม้าใส่สุเทษเพื่อช่วยเรา แต่ทำไมจะต้องหนีหน้าเราด้วย”

ชวาลกลัวว่าถ้าเจ้าชายมาคีเห็นหน้าแล้วจะโกรธเอาก็เลยต้องหลบ พระองค์ยกโทษให้เขาหมดแล้ว ตอนนี้พระองค์ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร ชวนเขากลับตำหนักด้วยกัน ชวาลทักท้วง คนที่พระองค์ต้องการไม่ใช่ตนเอง

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเป็นคามินล่ะสิ...ใช่ เมื่อก่อนเราเชื่อคามินทุกอย่าง ทั้งรักทั้งไว้ใจ แม้แต่ตอนนี้เราก็ยังอยากจะเชื่อเขา แต่เจ้ารู้ไหมว่าคามินยังไม่ตาย แล้วก็เพิ่งจะมาลักพาตัวเสด็จพ่อไป”

“ทอดพระเนตรเห็นด้วยองค์เองหรือพ่ะย่ะค่ะ”

พระองค์ไม่เห็นเอง แต่ทหารที่ตามไปช่วย

องค์อินทราเห็นกันหมด แถมคามินยังประกาศตัวเป็นศัตรูกับพระองค์ ส่วนหฤทัยก็โดนเขาหลอกให้ร่วมมือด้วย เธอหัวอ่อนอยู่แล้วก็เลยหลงเชื่อ

“จนถึงวันนี้ยังทรงคิดว่าคุณหฤทัยอ่อนแออยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมความรู้น้อย คงถวายคำแนะนำไม่ได้ แต่การที่คุณหฤทัยกล้าประกาศตัวเป็นศัตรูกับพ่อของตัวเอง มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ กระหม่อมทูลได้แค่นี้” ชวาลพูดจบผละจากไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเจ้าชายมาคี

ooooooo

ธรรมรัตน์จัดห้องในบ้านเกียรติกำจรไว้ห้องหนึ่ง นำรูปขององค์อินทรามาตั้งเพื่อให้ทุกคนได้กราบไหว้ ท่านหญิงมาณวิกาวางพวงมาลัยลงบนพาน แล้วถอยออกมา ธรรมรัตน์ก้าวเข้าไปวางพวงมาลัยทั้งน้ำตานองหน้า

“20 กว่าปีก่อน ผมโกรธเทพเจ้าแห่งโชคชะตาที่พรากพระองค์และพระชายาจากกัน แต่วันนี้ผมคงต้องขอบคุณเทพเจ้าที่อย่างน้อยท่านก็เมตตายอมให้ทั้งสองพระองค์กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ชั่วนิรันดร์”

มัทนามองชายคนรักที่ยืนเงียบอยู่ข้างหฤทัยด้วยความสงสารจับใจ ขยับจะเข้าไปปลอบ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นหฤทัยจับมือให้กำลังใจพระองค์เสียก่อน เธอมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดใจแต่ต้องข่มเอาไว้ ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้าให้มัทนาเข้าไปวางพวงมาลัยเป็นรายต่อไป จากนั้นก็เป็นเหมันต์ แล้วตามด้วยหฤทัยซึ่งร้องไห้เสียใจสุดๆ โทษตัวเองที่ไม่เอาไหน ช่วยพระองค์ไม่ได้ พูดได้แค่นั้นก็เซจะล้ม สินธรลืมตัวเข้าไปช่วยพยุง

“ขอบใจสินธร ฉันไม่เป็นไร” หฤทัยถอยออกมาให้สินธรเข้าไปวางพวงมาลัยต่อจากตัวเอง

“เกล้ากระหม่อมขอถวายคำสาบาน แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะปราบพวกที่คิดคดต่อแผ่นดินให้สำเร็จ แล้วจะรีบกลับมาอัญเชิญพระศพฝ่าบาทกับพระชายาไปประทับที่วิหารปรารถนาอย่างสมพระเกียรติพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายคามินวางพวงมาลัยเป็นคนสุดท้าย ทุกคนพากันทำความเคารพขณะที่พระองค์เดินผ่าน เพราะตอนนี้พระองค์ไม่ใช่คามินหัวหน้าราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าชายคามิน รัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งรายา ทุกคนลุ้นว่าพระองค์จะพูดอะไร แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆออกจากปาก ทำความเคารพเสด็จพ่อเสร็จ พระองค์หันมาทางธรรมรัตน์

“ผมคงต้องขอรบกวน ขอใช้ห้องสักห้องหนึ่งเพื่อประชุมวางแผนการต่อสู้”

ธรรมรัตน์หันไปสั่งเหมันต์ต่ออีกทอดหนึ่ง จากนั้น เจ้าชายคามินเรียกสินธรกับหฤทัยให้ตามไปยังห้องนั้นเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด พระองค์จะได้วางแผนรับมือกับพวกของวิฑูร โดยทิ้งให้มัทนา

ยืนน้อยใจน้ำตาคลอเบ้าอยู่กับท่านหญิงมาณวิกาซึ่งโอบไหล่ลูกไว้อย่างปลอบใจ...

ดึกแล้วมัทนานอนไม่หลับ ภาพหฤทัยจับมือเจ้าชายคามินยังตามมาหลอกหลอน ปาดน้ำตาทิ้งแล้วเดินไปที่ระเบียงห้อง แต่ต้องแปลกใจเมื่อมอง
ลงไปข้างล่างเห็นเจ้าชายคามินว่ายน้ำอยู่ในสระอย่างบ้าคลั่ง

“บ้าหรือเปล่าเนี่ย อีตาเจ้าชายนี่”

ฝ่ายเจ้าชายคามินว่ายมาเกาะขอบสระ หวนคิดถึงอดีตเมื่อครั้งพระองค์อายุประมาณ 12 ขวบ ตอนนั้นอาจารย์เมฆาช่วยฝึกมวยรายาให้ พระองค์พยายามจู่โจม แต่ถูกเขาใช้ไม้ฟาดทรุดลงไปกองกับพื้นเจ็บจนร้องไห้

“ลุกขึ้นมา แค่นี้ยังต่อยไม่โดนจะมีปัญญาไปปกป้องใครได้ แล้วจำไว้ องครักษ์ต้องไม่อ่อนแอ ไม่หลั่งน้ำตาพร่ำเพรื่อ” อาจารย์เมฆาเอ็ดเสียงลั่น เจ้าชายคามินกัดฟันต่อยเขาอีก แต่พลาดท่าโดนไม้ฟาดซ้ำ

เหตุการณ์ในอดีตยังคงผุดขึ้นมาในความทรงจำของพระองค์อย่างต่อเนื่อง ทั้งตอนที่แอบมาซ้อมเตะต่อยหุ่นฟางเพียงลำพังจนเจ็บขาไปหมด แทบเดินไม่ได้ โชคดีที่องค์อินทรามาช่วยพยุงพาไปนั่งพัก แล้วเอายามาใส่แผลให้ ถามด้วยความเป็นห่วงเขาว่าเจ็บหรือเปล่า เจ้าชายคามินเจ็บน้ำตาแทบร่วง แต่ก็ยังกัดฟันพูดว่า

“องครักษ์มีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์จะอ่อนแอไม่ได้”

“องครักษ์ก็เป็นมนุษย์ มนุษย์ก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอท้อถอย มันไม่ใช่ความผิด แต่เจ้าต้องเปลี่ยนความอ่อนแอท้อถอยนั้นให้เป็นพลัง จำไว้นะคามิน เจ้ามีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์ แต่เรามีหน้าที่ปกป้องเจ้า เจ้าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว” องค์อินทราว่าแล้วจะกอด แต่เขาทรุดลงค้อมหัวให้ พระองค์ได้แต่ยิ้มเศร้า เปลี่ยนไปจับหัวเขาแทนที่

อีกทั้งคำพูดขององค์อินทราที่ให้ในวันที่เจ้าชายคามินเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในฐานะราชองครักษ์ว่า “เจ้าคือความหวังของเรา ฝากดูแลแผ่นดินรายาด้วย” ยังคงดังก้องอยู่ในหัว เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เจ้าชายคามินตื่นจากภวังค์ ขึ้นจากน้ำมานอนหลับตาอยู่ข้างสระ มัทนาเข้ามาว่าประชด ว่านี่หรือคือวิธีคลายเศร้าของเจ้าชายรัชทายาท พระองค์ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ขอโทษเธอด้วยที่ทำเสียงดังรบกวนจนทำให้นอนไม่หลับ แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม หญิงสาวไม่วายแดกดันอีกครั้ง ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทำแบบนี้ไม่ได้

“คุณคาดหวังจะให้ผมทำอะไร ร้องไห้งั้นหรือ”

มัทนารู้ดีว่าพระองค์เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น อยากจะร้องไห้เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่สูญเสียบุคคลอันเป็น ที่รัก แต่กลัวคนอื่นจะหาว่าอ่อนแอ เธอตัดสินใจโดดลงน้ำ ทำเป็นจมนิ่งอยู่ก้นสระ เจ้าชายคามินถอดเสื้อคลุมออกแล้วโดดลงไปดึงเธอมายังบริเวณน้ำตื้นของสระว่ายน้ำ ต่อว่าว่าทำแบบนี้ทำไม

“ก็หม่อมฉันเสียใจ แต่หม่อมฉันไม่อยากร้องไห้ให้ฝ่าบาทเห็น หม่อมฉันก็เลยลงไปร้องไห้ข้างล่างนั่น”

“คุณนี่...” เจ้าชายคามินถูกจี้ใจดำทำท่าจะเดินหนี มัทนาจับหน้าพระองค์ไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน

“ตรงนี้มีแค่หม่อมฉัน แล้วน้ำตาของฝ่าบาทก็ไม่ได้ทำให้หม่อมฉันรู้สึกว่าทรงอ่อนแอ ตรงกันข้ามหม่อมฉันอยากให้ฝ่าบาททรงกล้าหาญพอที่จะกรรแสงออกมาให้สาสมกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในพระหทัยเพคะ”

เจ้าชายคามินดึงมือมัทนาออกทำให้เธอน้อยใจ คิดว่าพระองค์ไม่อยากให้มายุ่งวุ่นวาย หันหลังจะไป พระองค์โผกอดเธอไว้จากด้านหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้น หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งจับมือพระองค์ที่โอบเอวตัวเองไว้ ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็นหฤทัยยืนมองลงมาจากหน้าต่างห้องพัก เห็นท่าทางของพระองค์แล้วรู้ทันทีว่ารักมัทนามากแค่ไหน

อีกมุมมืดมุมหนึ่งไม่ห่างจากสระว่ายน้ำนัก สินธรแอบเห็นหฤทัยที่มองภาพหวานระหว่างเจ้าชายคามินกับมัทนาแล้วอดเจ็บปวดใจแทนไม่ได้

ooooooo

เราใช้คุ้กกี้ 

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookie Policy)

รับทราบ