วันนี้ 22 พฤษภาคม 2560 เป็นวันครบรอบ 3 ปี ของการยึดอำนาจโดย คสช. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มจริงๆ แผล็บเดียว 3 ปีแล้วนะเนี่ย

ณ นาทีนั้นนาทีที่ ผบ.ทบ. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจ ผมเชื่อว่าเป็นนาทีที่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่ตั้งหน้าตั้งตาทำมา หากินด้วยความขยันขันแข็งไม่ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด มีความสุขอย่างที่สุด

หลังจากที่เครียดกันมาหลายเดือนจากการเผชิญหน้าของ 2 กลุ่มการเมืองใหญ่และมีการตั้งขบวน เดินขบวนเผชิญหน้ากันมาตลอด

แผ่นดินใกล้จะลุกเป็นไฟ ชาวบ้านนอนตาไม่หลับ เพราะไม่แน่ใจว่า 2 กลุ่มการเมืองที่มีแนวความคิดสุดขั้วด้วยกันจะลุกขึ้นมาปะทะแตกหักเมื่อใด

การเข้ามาของ คสช. จึงเหมือนกับการมาช่วยดับไฟ ทำให้ประเทศไทยของเรากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

สำหรับผมในฐานะคนที่รักประชาธิปไตยเป็นชีวิตจิตใจ ย่อมรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ขบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศชาติต้องสะดุดหยุดลงอีกครั้ง

แต่ในฐานะคนที่เคยเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ ผมก็ตระหนักเช่นกันว่าประเทศไทยเรามาถึงทางตันแล้วและยากจะพัฒนาเศรษฐกิจอะไรได้อีกแล้วจากเหตุการณ์เผชิญหน้าของ 2 กลุ่มการเมืองที่ว่านี้

หากไม่ถอดชนวนเพื่อดับไฟแห่งกลียุคลงให้ได้โดยพลัน ประเทศชาติมีแต่จะทรุดดิ่งลงในทุกด้าน

เมื่อเอาทั้ง 2 ความรู้สึกมาขึ้นตาชั่ง ผมตัดสินว่าเราต้องเลือกอย่างหลัง คือเลือกการถอดชนวนระเบิดออกเสียก่อน

ให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้เสียก่อน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาต่างๆ เพราะมันเกี่ยวกับปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยตรง

ส่วนประชาธิปไตยนั้นแม้จะเป็นสิ่งพึงปรารถนา แต่เมื่อมันยังไม่พร้อม เพราะคนไทยบางกลุ่มบางเหล่าเอาประชาธิปไตยไปใช้ผิดๆ จนเกิดการเผชิญหน้าอย่างที่ว่าคงต้องกัดฟันและข่มใจทนรอ

...

นี่คือความรู้สึกของผม เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 เป็นความรู้สึกที่ผมเชื่อว่าน่าจะคล้ายคลึงกับผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรา

แล้ววันนี้ละครับ ผมรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ก็คงต้องบอกว่า เวลา 3 ปีนั้นน่าจะพอแล้วสำหรับการดับไฟประเทศ และน่าจะถึงเวลาแล้วที่เรากลับมาสู่ครรลองประชาธิปไตยกันอีกหน

เรามีรัฐธรรมนูญแล้ว เพียงแต่รอกฎหมายลูกที่จำเป็นและรอการเลือกตั้ง อันเป็นขบวนการที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตย

แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ถูกใจผม และตอนทำประชามติผมก็ไม่รับ แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่รับ (ประมาณ 61 เปอร์เซ็นต์ กับ 39 เปอร์เซ็นต์) ผมจึงต้องเคารพการตัดสินของเสียงส่วนใหญ่นั้นๆ

สิ่งที่จะขอวันนี้ก็คือ ขอให้เราได้เลือกตั้งตามโรดแม็ป อย่าให้ยืดเยื้อไปมากกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยสัญญาไว้เลย

สำหรับผลงานปฏิรูปประเทศ ผมไม่ศรัทธาอยู่แล้วกับคำคำนี้เพราะไม่เคยเห็นประเทศไทย “ปฏิรูป” อะไรสำเร็จ ขนาดเรื่องเล็กกว่านี้ ยังไม่สำเร็จ จะหวังอะไรกับการปฏิรูปครั้งนี้ที่จะทำกันหลายๆเรื่องเหลือเกิน และเป็นเรื่องใหญ่ๆทั้งสิ้น

ผมจึงเฉยๆกับผลงานการปฏิรูปประเทศที่ทำกันมาตลอด 3 ปีที่แล้ว และยังคงเชื่อว่าจะไม่มีอะไรสำเร็จสักเรื่องเดียว ต่อให้เวลาผ่านไปอีกกี่สิบปีข้างหน้า จึงขออนุญาตไม่ให้คะแนน

ในด้านผลงานการบริหารและพัฒนาประเทศ ผมเห็นว่าอยู่ในเกณฑ์สอบผ่าน แม้จะไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสอบตก ผมให้เครดิตในแง่ความตั้งใจทำงานของ ครม.และเชื่อว่าการบริหารโครงการส่วนใหญ่ไม่มีคอร์รัปชัน

ในรายละเอียดปลีกย่อยของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แม้ผมจะเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายลดแลกแจกแถมกับนโยบายอุ้มคนจนแบบสงเคราะห์ ที่ผมเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีแบบประสงค์ร้าย แจกบ่อยๆจะทำให้คนรับแจกเคยตัวไม่ดิ้นรนและขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน

สรุปผมให้คะแนน คสช.และรัฐบาลโดยรวม 65 เปอร์เซ็นต์ครับ ซึ่งตามระบบการให้คะแนนแบบเก่าถือว่าสอบผ่านสำหรับระดับปริญญาตรี แต่ยังไม่ผ่านในระดับปริญญาโท

แต่ก็เอาเถอะ เรียนมาแค่ 3 ปี ถือว่ายังอยู่ในระดับปริญญาตรีเท่านั้น...ครูใจดีอย่างผมขอให้คะแนนผ่านก็แล้วกัน...เพียงแต่ก็มีข้อสังเกตบางประการฝากไว้ดังที่เขียนมาทั้งหมดนี่แหละครับ

พร้อมกับขอร้องว่าอย่าเรียนต่อเป็นอันขาด เพราะจะกลายเป็น 4 ปี หรือ 5 ปี เข้าข่ายเรียนปริญญาโท...คะแนนที่ได้จะเป็นคะแนนสอบตก!

“ซูม”