ไม่ทราบว่ามีอารมณ์ค้าง หรืออารมณ์เครียดด้วยเรื่องใด ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องระบายอารมณ์ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อหลายวันก่อน “หลายคนมองว่า ผมมาแบบเผด็จการ...ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีรูปแบบของเรา ทำไมต้องทำเหมือนคนอื่นเขาหมด แล้วความเป็นไทยของเราหายไปไหน”
นายกรัฐมนตรีอาจจะมีความรู้สึกแบบนี้ หลังจากที่กลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และเยาวชนทั่วประเทศ ออกมาชุมนุมต่อต้านเผด็จการ การชู 3 นิ้วกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านเผด็จการของนักเรียนระดับมัธยมทั่วประเทศ และมีองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกออกมาเรียกร้องรัฐบาลไทย ให้เคารพเสรีภาพในการพูดของเด็กๆ
แต่คำพูดของนายกรัฐมนตรี ทำให้ต้องคิดย้อนหลังกลับสู่การเมืองไทยในอดีต เมื่อหลายทศวรรษก่อนหน้ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารบางคน ประกาศว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย เป็น “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่ประเทศตะวันตกไม่ยอมรับว่าไทยเป็นประชาธิปไตย
เนื่องจากผู้นำรัฐบาลไทยไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่เข้าสู่อำนาจด้วยการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญเดิมทิ้ง ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และตั้งสภานิติบัญญัติใหม่เป็นสภายาง เพื่อสร้างความ ชอบธรรมให้แก่อำนาจ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีควบตำแหน่งผู้นำกองทัพ
แต่รัฐบาลโลกตะวันตกในยุคนั้น ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ไม่สนใจว่ารัฐบาลไทยจะเป็นเผด็จการ หรือประชาธิปไตย หรือเป็นเผด็จการครึ่งใบ ขอให้ “ต่อต้านคอมมิวนิสต์” ก็โอเค เพราะโลกขณะนั้นอยู่ในยุคสงครามเย็นเป็นการต่อสู้ระหว่างโลกเสรี ที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำ กับโลกคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียต รัสเซีย
...
แต่โลกยุคสงครามเย็นผ่านพ้นไปแล้วหลายสิบปี ขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่เป็นประชาธิปไตย และรังเกียจเผด็จการ วิธีการเข้าสู่อำนาจด้วยรัฐประหาร เป็นเรื่องล้าสมัย ยังคงหลงเหลืออยู่บ้างในทวีปแอฟริกา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดหลังรัฐประหารโดย คสช.เมื่อปี 2557 สหภาพยุโรป 28 ประเทศ ยกเลิกการเจรจาการค้ากับไทยทันที
จนกระทั่งวันนี้ การค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับไทย ก็ยังไม่คืนสู่ภาวะปกติ ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนามวิ่งแซงหน้าไทย การพูดว่าเราเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่ต้องเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน อาจพูดได้ แต่ประชาคมโลกจะยอมรับหรือไม่ ไม่ใช่แค่การค้า แต่รวมถึงการลงทุน การท่องเที่ยวและอื่นๆ.