ต้องถือว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลัง ประสบภาวะวิกฤติ ธาตุทั้งสี่ครบถ้วนทุกประการ ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม อันเนื่องมาจากภัยแล้งและฝุ่นพิษอันตรายที่เกิดจากการเผาไหม้ และสภาพดินฟ้าอากาศ ซ้ำยังเกิดขึ้นในขณะที่ประเทศเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ข้าวยากหมากแพง และการเมืองเข้มข้นที่อาจก้าวสู่วิกฤติ
อธิบดีกรมควบคุมมลพิษแถลงว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีแนวโน้มสูงขึ้น คุณภาพอากาศเกินค่ามาตรฐาน และมีผลกระทบต่อสุขภาพ 46 จุด ส่วนในต่างจังหวัดมีเกือบ 27 จังหวัดที่ประสบปัญหา ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ เรียกได้ว่าทั่วประเทศ
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการหลายคนเกี่ยวกับการป้องกันและการแก้ปัญหาฝุ่นพิษที่มีมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่รัฐบาลไม่ได้ป้องกันหรือแก้ไขอย่างจริงจังเร่งด่วน แม้จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมาย เช่น กรมควบคุมมลพิษ คณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นต้น
เพิ่งจะมีการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง ตำรวจจราจร กทม. ขสมก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ใช้มาตรการที่เข้มงวด เช่น ตรวจควันดำรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถโดยสาร และห้ามรถขนส่งบางประเภทเข้า กทม.
ฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 เป็นฝุ่นขนาด จิ๋ว มีความหนาเล็กกว่าเส้นผมคนถึง 30 เท่า อยู่ในอากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อาจเป็นบ่อเกิดของโรคทางเดินหายใจ หรือโรคเกี่ยวกับหัวใจ กลุ่มคนที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุและเด็กๆ รวมทั้งผู้ที่ทำงานกลางแจ้งที่ต้องป้องกันตัว
นับแต่เกิดปัญหาฝุ่นพิษเป็นต้นมา มีรายงานข่าวระบุว่ามีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองถึง 3.8 หมื่นคน เข้าตรวจรักษาในโรงพยาบาลในสังกัด กทม. ส่วนในโรงพยาบาลอื่นๆ และในต่างจังหวัด ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน สิ่งที่รัฐบาลต้องกระทำอย่างเร่งด่วน คือการสร้างการรับรู้ในหมู่ประชาชน และการป้องกัน
...
แม้ฝุ่นพิษจะเคยมีมาแล้วในปี 2562 ที่ผ่านมาไม่ทราบว่าหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมรับมือในปี 2563 นี้อย่างไรหรือไม่ ไม่ใช่แค่แจ้งเตือนประชาชน แต่ต้องเตรียมเครื่องมือในการป้องกันให้เพียงพอ โดยเฉพาะหน้ากากป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และราคาไม่แพงเกินไปไม่ทราบว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายใด.