สหรัฐอเมริกาเริ่มใช้วิธีสแกนใบหน้าเพื่อเก็บข้อมูลในแบบไบโอเมตริกซ์ (bio metrics) ซึ่งคือข้อมูลชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นลายนิ้วมือ ฝ่ามือ เสียง ม่านตา เรตินา ใบหน้า ดีเอ็นเอ และลายเซ็น โดยที่ผ่านมานั้นหน่วยงานการดูแลคนเข้าเมืองจะเก็บข้อมูลเฉพาะชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ แต่ล่าสุดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจว่าพลเมืองอเมริกันที่จะเดินทางออกนอกประเทศต้องให้ข้อมูลในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน

แต่เดิมนั้นการทดลองเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์เริ่มต้นในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในท่าอากาศยาน 6 แห่ง คือเมืองบอสตัน ชิคาโก ฮิวส์ตัน แอตแลนตา สนามบินจอห์น เอฟ.เคนเนดี ในนิวยอร์ก และสนามบิน ดัลเลสในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และมีแผนการจะขยายการใช้งานไปยังท่าอากาศยานอื่นๆในปีหน้า

กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเผยว่า วิธีดังกล่าวเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการติดตามคนต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักอยู่ในสหรัฐฯ หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสหรัฐฯเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และการจัดเก็บข้อมูลชีวภาพนี้ไม่เพียงติดตามชาวต่างชาติที่อยู่เกินวีซ่า แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความเข้มงวดต่อการคัดกรองคนเข้าเมือง

ด้านหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองก็ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่มีแผนที่จะเก็บรักษาข้อมูล ไบโอเมตริกซ์ของพลเมืองสหรัฐฯไว้นาน ข้อมูลที่สแกนไว้ทั้งหมดจะถูกลบออกภายใน 14 วัน แต่ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ารัฐบาลได้เก็บข้อมูลภาพของผู้ใหญ่อย่างน้อย 130 ล้านคนใน 29 รัฐไว้ในฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ และเอฟบีไอเพียงหน่วยงานเดียวก็มีภาพถ่ายมากกว่า 30 ล้านรูป

แน่นอนว่าบรรดาผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน ต่างออกตัวไม่เห็นด้วยกับนโยบายการจัดเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พลเมืองในชาติ พวกเขามองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของหน่วยงานรัฐบาลและไม่ใช่วิถีของประชาธิปไตย แต่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิก็โต้ว่าชาวอเมริกันก็ยังมีทางเลือก พร้อมระบุว่า วิธีเดียวที่จะให้คนอเมริกันมั่นใจว่าไม่ต้องอยู่ภายใต้นโยบายการให้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ นั่นคือพวกเขาต้องงดเว้นการเดินทางไปประเทศอื่นๆในโลกนี้โดยสิ้นเชิง

...

เป็นทางออกที่ทรมานใจคนชอบท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ แต่หวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่งนัก.

ภัค เศารยะ