เป็นมหากาพย์ที่กินเวลามาถึงตอนนี้ก็ 11 ปีเต็มๆ...

ครั้นมาถึงรัฐบาลชุดนี้ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่คนกรุงเทพฯมุ่งหวังว่าจะได้นั่งรถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 489 คัน หลังจากที่รอมานานจนเกือบจะลืมกันไปแล้ว

เบื้องต้นรู้สึกดีใจแทนคนเมืองหลวงจะได้นั่งรถใหม่เพื่อความสะดวกสบายไม่ใช่รถ ขสมก.เก่าๆโกโรโกโสเพื่อฉลองวันปีใหม่

เอาเข้าจริงแล้วดูท่าจะเป็นหมันอีกแล้ว

บริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป ที่ประมูลได้เสนอราคาต่ำสุด 3,389 บาท จำนวน 489 คัน ต่ำกว่าคู่แข่งและต่ำกว่าราคากลาง 600 ล้านบาท

คำถามแรกที่คาใจก็คือ ทำไมจึงหารถมาได้ด้วยราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 600 ล้านบาท ซึ่งบวกลบคูณหารแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับราคารถทั้งหมดไม่ใช่เม็ดเงินน้อยๆ

ทำไมถึงยอมลดวงเงินอย่างน่าผิดสังเกต

หรือไม่คิดจะเอากำไรเป็น “นักบุญ” อย่างนั้นหรือ?

ข้อสงสัยตรงนี้ก็มาปรากฏเอาเมื่อมีการนำรถเข้ามาครั้งแรก 1 คัน ซึ่งคงไม่ได้มีการตรวจสอบอะไรมากเพราะคิดว่าเป็นการนำเข้ามาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อการตรวจสอบเท่านั้น

แต่พอมาถึงลอตแรกจริงๆจำนวน 100 คัน ซึ่งทางกรมศุลกากรได้ทำการตรวจสอบเอกสารการนำเข้าพบว่ามีความผิดปกติไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีกลุ่มประเทศอาเซียน

นั่นคือเป็นการนำเข้ารถสำเร็จรูปจากจีนโดยส่งผ่านเข้ามาเลเซียก่อนที่จะนำเข้ามายังประเทศไทย

ตรงนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กรมศุลกากรจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด

เพราะหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ที่นำรถเมล์ดังกล่าวเข้ามาทั้ง 2 รอบ โดยรอบแรก 1 คัน และแจ้งสำแดงถิ่นกำเนิดจากมาเลเซียเพื่อขอยกเว้นอากรตามข้อตกลง

แต่ศุลกากรพบว่า หมายเลขตู้ดังกล่าวเป็นหมายเลขตู้เดียวกันกับที่ออกจากประเทศจีน โดยสำแดงเป็นรถเอ็นจีวีสำเร็จรูป ยี่ห้อ โมเดลตรงกันอย่างชัดเจนและส่งออกจากจีน ซึ่งลอต 2 ก็ไม่ แตกต่างกัน

...

กรมศุลกากรได้ตั้งคำถามกับการแจ้งนำเข้ารถเมล์ทำไมต้องมีการนำเข้า 2 รอบ ประเด็นก็คือ เอกสารออกจากหน่วยงานของมาเลเซียหรือไม่ หรือเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบจริงยังไม่ได้เป็นปัญหาหลักเท่ากับข้อมูลพบว่าสินค้าไม่น่าจะผลิตในมาเลเซีย

เนื่องจากรถเมล์ดังกล่าวที่นำเข้า 100 คันนั้นเป็นยี่ห้อ Sunlong ซึ่งพบว่าปัจจุบันก็มีการวิ่งให้บริการประชาชนเป็นการนำเข้ามาจาก ประเทศจีน

ทั้งนี้ กำลังมีการดำเนินการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วด้วยการประสานงานศุลกากรของมาเลเซียเกี่ยวกับการผลิตและการออกเอกสารจากจีนและจะไปดูโรงงานที่ผลิตด้วย

แม้ว่านายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานบริษัทเบสท์ริน กรุ๊ป จะพยายามชี้ยืนยันว่านำเข้ามาจากมาเลเซีย

และเดิมพันด้วยว่าจะทำหนังสือถึง ขสมก.เพื่อเสนอให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเพื่อขอใช้เงินจำนวน 3,300 ล้านบาท ที่รัฐบาลต้องให้บริษัทในฐานะผู้ชนะประมูลเป็นเงินค่าปรับตามที่ศุลกากรเรียกเก็บ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้รถเมล์ตามข้อตกลงเป็นของขวัญในวันปีใหม่

ยังยืนยันว่าโรงงานประกอบรถยนต์นั้น บริษัทได้ทำสัญญาสั่งซื้อจากมาเลเซียไม่ใช่จากจีน เพราะต้องการให้ได้รับการยกเว้นภาษีตามข้อตกลงอาเซียน

ทั้งหลายทั้งปวงข้อเท็จจริงต่างๆสามารถตรวจสอบได้จากต้นทางถึงปลายทางว่ามีการฉ้อฉลหรือเป็นไปตามข้อตกลงจริงๆ อีกไม่นานได้รู้กันแน่

ที่ต้องชมเชยก็คือกรมศุลกากรยุค “น้ำดี” ที่รักษาผลประโยชน์ของชาติบ้างเมือง.

“สายล่อฟ้า”