เหลือเวลาอีกไม่กี่อึดใจ การแข่งขันศึกชิงเจ้าอาเซียน 2016 นัดชิงชนะเลิศ เกมแรก ระหว่างขุนพล “การูดา” ทีมชาติอินโดนีเซีย พบกับ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ก็จะเริ่มต้นขึ้น ภายใต้สายตาที่จับจ้องของแฟนลูกหนังทั่วทั้งภูมิภาค...

หลังจากฟาดฟันกันมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 3 สัปดาห์ ตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงรอบตัดเชือก ก็ได้ 2 ทีมสุดท้ายผ่านเข้ามาสู่รอบชิงดำเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทีมชาติไทยในฐานะแชมป์เก่า เมื่อปี 2014 และดีกรีเจ้าของแชมป์ 4 สมัย จะต้องมาดวลเดือดอีกครั้งกับทัพ “พญาครุฑ” อินโดนีเซีย ที่ยังไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์รายการนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ จะพาไปเจาะข้อมูล ขุมกำลัง และความพร้อมของทั้งสองทีม ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศเกมแรก ว่าใครจะเป็นผู้กุมความได้เปรียบเอาไว้ก่อน หลังสิ้นเสียงนกหวีด 90 นาที ที่สังเวียนปากันซารี สเตเดียม

ขอดเกล็ดสถิติ "ไทย-อิเหนา"

เมื่อมองย้อนสถิติการพบกันของทั้งสองทีมก่อนหน้านี้ เฉพาะในศึกชิงแชมป์อาเซียนตั้งแต่ปี 1996 จากการพบกัน 9 ครั้ง ปรากฏว่า ทีมชาติไทย ชนะ 7 ครั้ง ขณะที่ ทีมชาติอินโดนีเซีย เอาชนะเพียง 2 ครั้งเท่านั้น 

ส่วนสถิติการพบกันในรอบชิงชนะเลิศของทั้งสองทีม เกิดขึ้น 2 ครั้งในปี 2000 และ 2002 และเป็นฝ่ายทัพช้างศึกที่กำชัยไปได้ทั้งสองครั้ง

...

สถิติพบกันในศึกชิงแชมป์อาเซียน

ปี 1998 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 3-2 รอบแรก

           อินโดนีเซีย ชนะ ไทย 3-3 (จุดโทษ 5-4) รอบชิงที่ 3

ปี 2000 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 4-1 รอบแรก

           ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 4-1 รอบชิงชนะเลิศ

ปี 2002 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 2-2 (จุดโทษ 4-2) รอบชิงชนะเลิศ

ปี 2008 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 1-0 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก

           ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 2-1 รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2

ปี 2010 อินโดนีเซีย ชนะ ไทย 2-1 รอบแรก

ปี 2016 ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 4-2 รอบแรก

ทีมชาติอินโดนีเซีย (INDONESIA)

ทัพนักเตะจากแดนอิเหนา กลับมาได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติอีกครั้ง หลังถูกฟีฟ่าแขวนลอยเป็นเวลาถึง 2 ปี เนื่องจากถูกการเมืองแทรกแซง แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกข้อจำกัดในเรื่องของตัวผู้เล่นซ้ำเข้าให้อีกระลอก เมื่อ อันเฟร็ด รีเดิล กุนซือใหญ่ชาวออสเตรีย ที่เข้ามารับงานเป็นครั้งที่ 3 ถูกบีบให้เลือกผู้เล่นไปใช้งานได้เพียงแค่สโมสรละ 2 คนเท่านั้น ขณะที่ ตัวดาวเด่นลูกครึ่งอย่าง อิรฟาน บัคดิม และ เซร์จิโอ ฟาน ไดค์ ก็ถูกตัดออกจากทีมในช่วงโค้งสุดท้ายอีกต่างหาก

แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังเอาตัวรอดจากการตะบันแข้งในรอบแรกมาได้ ถึงแม้จะแพ้ไทยในเกมนัดเปิดสนาม 2-4 แต่ก็มาเก็บแต้มจาก ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์ ได้อย่างสะใจ ก่อนจะไล่เบียดเอาชนะเวียดนามไปได้แบบใจหายใจคว่ำ ด้วยผลประตูรวมสองนัด 4-3

ซึ่งในรอบชิงชนะเลิศ เฮดโค้ชชาวออสเตรียวัย 67 ปี ได้เข้ามาปลุกทีมพญาครุฑ ให้กลับมาผงาดได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง โดยอาศัยความจี๊ดจ๊าดของแนวรุกอย่าง อันดิก เวอร์มันส์ซาห์, มานาฮาติ เลสตูเซน, สเตฟาโน ลิลิปาลีย์ และที่ลืมไม่ได้คือ กัปตันจอมทุ่มเทอย่าง โบอาซ ซาลอสซา

สำหรับการเล่นในบ้านเกมแรก แน่นอนว่า อินโดนีเซีย ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อกุมความได้เปรียบให้ได้ โดยเฉพาะรูปแบบการเล่นที่ตั้งรับแน่น และใช้ความเร็วในจังหวะโต้กลับเป็นอาวุธเด็ด ซึ่งพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่า แผนการนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหนในการเจาะแนวรับไทยได้ถึง 2 ลูก ในเกมนัดเปิดสนามที่ผ่านมา

...

และถึงแม้ในช่วงนี้ จะยังไม่สามารถใช้สังเวียนเลื่องชื่ออย่างสนามเสนายัน หรือ เกเลอรา บังการ์โน ที่มีความจุหลักแสนได้เนื่องจากปิดปรับปรุงซ่อมแซม แต่ด้วยศักยภาพของกองเชียร์ที่มีความดุดัน ฮาร์ดคอร์ น่าจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับพวกเขาได้ไม่ยาก ในการลงเล่นที่สนามปากันซารี สเตเดียม เพื่อเอาชนะทีมชาติไทยให้ได้

ทีมชาติไทย (THAILAND)

แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณใดๆ สำหรับทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ที่ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งแบบไร้เสียงคัดค้าน เนื่องจากผลงานในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดดเด่นล้ำหน้าเพื่อนร่วมภูมิภาคอย่างชัดเจน ภายใต้การคุมทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เคยครองแชมป์รายการนี้ได้หลายสมัย เมื่อครั้งยังเป็นนักเตะ

...

และจากการหนีบผู้เล่นแกนหลักจากชุดคัดบอลโลก 2018 มาแบบยกชุด จึงทำให้ผลงานการเล่นในรอบแรกไม่ยากเย็นนัก เก็บชัยชนะได้ครอบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม และในรอบตัดเชือกก็ผ่านทีมเมียนมาพลังหนุ่มมาได้แบบสบายเท้า ทำให้กำลังใจของทัพนักเตะขณะนี้ แทบจะเรียกได้ว่าพุ่งสูงแทบติดเพดานเลยทีเดียว

สำหรับขุมกำลังในรอบชิงชนะเลิศเกมแรก แทบไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะก็เพียงแค่การรอเช็กอาการบาดเจ็บของ “เจ้าตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ถึงแม้จะลงไม่ได้ก็ยังมี กรวิทย์ นามวิเศษ และ ประวีณวัช บุญยงค์ รอสแตนบายอยู่แล้ว

ขณะที่ ผู้เล่นในแนวรุกต่างประจำการอยู่กันครบ ไม่ว่าจะเป็น ธีรศิลป์ แดงดา ที่ได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเพื่อรอรับแชมป์อาเซียนสมัยแรกของตัวเอง เคียงข้างด้วย ชนาธิป สรงกระสินธ์, ศราวุฒิ มาสุข, สารัช อยู่เย็น, สิโรจน์ ฉัตรทอง, ปกเกล้า อนันต์ โดยมี ชาริล ชัปปุยส์ เป็นตัวสอดแทรก

11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามของทั้งสองทีม 

ทีมชาติอินโดนีเซีย : คูเมีย ไมกา (GK), เบนี วาห์ยูดี, มูฮัมหมัด เลสตาลูฮู, โบอาซ ซาลอสซา (C), สเตฟาโน ลิลิปาลีย์, ริซกี โปรา, ฟัครุดดิน อาร์ยานโต, บายู อันเดรียท์โมโก, อันดิก เวอร์มันส์ซาห์, ฮานซามู ปรานาตา, มานาฮาติ เลสตูเซน

...

ทีมชาติไทย : กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (GK), ทริสตอง โด, ธีราทร บุญมาทัน, กรวิทย์ นามวิเศษ, อดิศร พรหมรักษ์, ประทุม ชูทอง, สารัช อยู่เย็น, ปกเกล้า อนันต์, ชนาธิป สรงกระสินธ์, สิโรจน์ ฉัตรทอง, ธีรศิลป์ แดงดา (C)

สำหรับสาวกขุนพล "ช้างศึก" สามารถติดตามชมและเชียร์กันได้ผ่านหน้าจอ ในวันพุธที่ 14 ธันวาคมนี้ เวลา 19.00 น. ทางช่อง 7 สี เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมชาติไทยลงป้องกันแชมป์อาเซียนอีกสมัย และกุมความได้เปรียบเอาไว้ให้ได้ ก่อนจะกลับมาดวลกันอีกครั้งที่สนามราชมังคลากีฬาสนามในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้...