นอกจากบทบาทจะเป็นนักแสดงมากความสามารถอันดับต้นๆ แล้ว ในบทบาทของคุณพ่อ ’ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ’ ก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกชายคนโต ‘ภู-ภูดิศ สกิดใจ’ วัย 3 กว่ากำลังซนให้เติบโตขึ้นมามีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง...

ซึ่งล่าสุด ‘ป๋อ ณัฐวุฒิ’ ก็ได้เข้าร่วมโครงการ ‘รวมพลังเพื่อเด็กสุขภาพดี (United For Healthier Kids)’ ที่เกิดจากการผนึกกำลังระหว่างบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และพันธมิตรทั้งภาครัฐ-เอกชนจากทุกภาคส่วน เพื่อจุดประกายให้พ่อแม่หาวิธีปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพให้เจ้าตัวน้อยด้วย

...

แน่นอนว่าโอกาสดีๆ แบบนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ก็ไม่พลาดนัดคิวคุณพ่อสุดหล่อมาแบ่งปันเคล็ดลับ และประสบการณ์ตรงในการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีมาฝากกัน เชื่อว่า พ่อแม่คงจะเอาไปใช้ตามได้ไม่มากก็น้อยล่ะ !

ถามก่อนว่า ไลฟ์สไตล์ชีวิตเปลี่ยนไปมาก-น้อยแค่ไหนหลังจากมีลูก 2 คน
มันก็ไม่น่าเชื่อนะว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ตอนนี้น้องภูอายุ 3 ขวบกว่าแล้ว น้องเภาเพิ่งจะ 7 เดือน การมีลูกคนหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ ทัศนคติ หรือเป้าหมายอนาคต จากที่แต่ก่อนเราคิดว่าชีวิตแค่นี้โอเคแล้ว เรื่องงาน การเงินทุกอย่าง ทว่าพอมีลูกเพิ่มมาเป็นสมาชิกในครอบครัว มันทำให้เป้าหมายในชีวิตเราเปลี่ยนเลย เราจะต้องมองอะไรให้กว้างมากขึ้น คิดถึงลูกให้มากขึ้น สิ่งไหนต่างๆ ที่เราเคยคิดจะกลายเป็นเรื่องรองในทันที

ตอนรู้ว่ามีน้องภูคนแรก ได้มีการเตรียมพร้อมอะไร ยังไงบ้าง
ส่วนตัวเราไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยนะ อาจเพราะเราโตมาจากต่างจังหวัด อยู่กับธรรมชาติ เราเลยเชื่อว่า เด็กที่โตมากับธรรมชาติ พื้นดิน พื้นหญ้า สายลม แสงแดด จะมีความแข็งแรง และภูมิคุ้มกันมากกว่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะสร้างความแข็งแกร่งให้เราในระดับหนึ่ง แต่กับภรรยา (เอ๋ พรทิพย์) จะโตมาในกรุงเทพฯ เขาก็จะมีความคิด การใช้ชีวิตแบบคนกรุงเทพฯ มีความวิชาการนิดหนึ่ง เขาก็จะเสิร์ชอินเทอร์เน็ต ถามกลุ่มเพื่อนๆ หาหนังสือเกี่ยวกับเด็กมาอ่านเป็นข้อมูล เตรียมพร้อมว่าถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้ต้องทำอย่างไร หรือแม้กระทั่งการให้นม การเลี้ยงดูอะไรต่างๆ ซึ่งแน่นอนมันเป็นเรื่องที่ดีมาก เราว่าเขาเหมือนห้องสมุดเล็กๆ เกี่ยวกับเด็กนะ (หัวเราะ)

...

งานค่อนข้างหนักแบบนี้จัดสรรเวลาเลี้ยงลูกยังไงบ้าง
อันนี้เรากับภรรยาจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนนะ คือเราจะเป็นคนทำงาน ส่วนภรรยาจะเสียสละไม่ทำงานเพื่อเอาเวลามาทุ่มเทให้กับลูกหมด หากแต่วันไหนที่เราว่าง ไม่มีคิวงานถ่าย เราก็จะช่วยกันเลี้ยงนี่แหละ ภรรยาจะเน้นเคล็ดลับอะไรต่างๆ ในการเลี้ยงลูกว่าจะต้องเป็นอย่างไร แต่เราจะเน้นภาพรวม สภาพจิตใจ มู๊ดความสนุกสนานภายในบ้านซะมากกว่า คือไม่รู้สิ ทำงานมาก็เครียดแล้ว เราไม่อยากเอาความเครียดเข้ามาในบ้านอีก อยากให้มีแต่เสียงหัวเราะของความสุข อีกอย่างเราว่าเด็กต้องมีเสียงหัวเราะอยู่ตลอดนะ บางทีบ้าบอหน่อยเราก็เล่นกับลูกเป็นซุปเปอร์ฮีโร่บ้าง ซึ่งมันก็เวิร์กอยู่ ลูกสนุกมีเสียงหัวเราะ และได้เห็นพ่อของตัวเองเป็นซุปเปอร์ฮีโร่

...

ถามว่าเลี้ยงลูกยากไหม เราว่ามันก็ไม่ง่ายนะ (หัวเราะ) น้องภูจะนิสัยเหมือนเราเลย ออกดื้อๆ นิดๆ กบฏหน่อยๆ ซึ่งเวลาไม่เชื่อฟัง หรือพูดแล้วยังไม่ยอมหยุด เราจะมีมาตรการทำโทษจริงจัง เอาทั้งทำโทษแบบไทย แบบฝรั่งเลย แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเป็นแบบฝรั่งก็จะเป็น Time out ให้ไปยืนตามมุม เอาจริงๆ เมื่อก่อน Time out ศักดิ์สิทธิ์มากนะ เวลาไปเห็นลูกยืนจะดูทรมานมาก แต่เดี๋ยวนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว พอลูกเริ่มโตขึ้นก็จะรู้ว่า การยืนทำโทษแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้ เราก็ต้องหันมาทำโทษแบบไทยแทน โดยใช้เสียงบ้าง ใช้สายตาบ้าง ลูกก็จะเริ่มเห็นเราเป็นตัวร้ายมากขึ้น (หัวเราะ)

แต่บ้านเราจะค่อนข้างเด็ดขาดนะว่า ไม่ได้คือไม่ได้ ฉะนั้นลูกก็จะค่อยๆ เรียนรู้กับคำสั่งเราไปเรื่อยๆ เองว่า เวลาที่จริงจังเมื่อไหร่จะต้องหยุด บ้านเราไม่มีการผ่อนผันใดๆ เพราะว่าถ้าทำไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปมันก็มีมาอีกเรื่อยๆ

...

เตรียมปูพื้นฐานให้ลูกบ้างแล้วรึยัง

เอาจริงๆ ตอนนี้น้องภู (คนโต) เพิ่งจะเรียนเตรียมอนุบาลเอง เรามองว่าเขายังเด็กเกินไปที่จะปูพื้นฐานอะไรให้ วัยนี้เป็นช่วงกำลังเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ชอบเล่น ชอบสังเกต ชอบถามมากกว่า เราอยากให้เขาเป็นเด็กที่ธรรมชาติ ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโตเองแบบไม่ปรุงแต่ง แต่เราก็พอเตรียมในสิ่งที่เตรียมได้นะ อย่างเช่น ในเรื่องการเตรียมสภาพร่างกาย และสภาพจิตใจให้พร้อมเวลาไปเรียนหนังสือ เขาจะได้เรียนรู้ และมีพัฒนาการกับสิ่งที่เขาได้รับอย่างเต็มที่ เราว่าในวัยเขาสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด มันไม่จำเป็นต้องเน้นเรื่องเรียน บวกเลข อ่านอังกฤษ หรือเขียนหนังสือได้

ตลอดจนการเข้าสังคม เวลาเล่นกับเพื่อนๆ หรือเจอคุณครูต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เราก็จะสอนเขาในเรื่องนี้ด้วย อย่างการอ่อนน้อมถ่อมตน การรู้สึกขอบคุณ ขอโทษเป็นอย่างไร หรือรู้จักที่จะแบ่งปันเพื่อนๆ ส่วนเรื่องวิชาการแทบไม่ได้สอนอะไรเลย เราไม่พยายามมุ่งเน้นไปด้านนั้น เราปล่อยให้เขาเรียนรู้ไปตามธรรมชาติดีกว่าอย่างที่ควรเป็น ได้รับจากโรงเรียนเท่าไรก็เท่านั้น ช่วงวัยนี้อยากให้เขาสนุกกับชีวิตมากกว่า

เป้าหมายในการเลี้ยงลูกเลยตอนนี้ คือ อยากให้เขามีชีวิตที่ดี มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา อะไรที่เขามีความสุข ณ ตอนนี้ก็ปล่อยให้เขาทำ ทั้งนี้แน่นอนว่า มันก็ต้องมาจากพื้นฐานครอบครัว และสภาพร่างกายความพร้อมของเขาด้วย เขาถึงจะทำสิ่งต่างๆ ดีได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นหลักๆ ตอนนี้เรามองในเรื่องของสุขภาพกาย และใจของลูกเป็นสำคัญ ซึ่งครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญที่ต้องเตรียมให้

กับโครงการ ‘รวมพลังเพื่อเด็กสุขภาพดี’ มาร่วมได้อย่างไร
เกิดจากทาง เนสท์เล่ ติดต่อชักชวนเข้ามาให้ร่วมโครงการดีๆ นี้ ซึ่งพอได้พูดคุยถึงโครงการ เราก็รู้สึกว่ามันดีมากๆ สำหรับเด็ก มีจุดมุ่งหวังให้เด็กไทยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น รวมไปถึงครอบครัวเราเองก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ ตอนเลี้ยงน้องภูก็ประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องการทานอาหาร เขาเป็นคนไม่ทานผักเลย จะทานแต่ในสิ่งที่เขาอยากทาน เราก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร เวลาบังคับก็ร้องไห้ เรากับภรรยาต้องใช้วิธีการหลอกล่อสารพัดกว่าจะทำให้เขาทานได้

พอโครงการนี้เข้ามาเลยเหมือนกับมีตัวช่วย ทำให้เราสนใจอยากเข้าร่วม ซึ่งเราว่าเด็กช่วงวัย 3-5 ปีนี้ คือช่วงเวลาสำคัญในการปลูกฝังพฤติกรรมนะ ถ้าเราสามารถสอนให้เขามีสุขภาพดีได้ พฤติกรรมนี้ก็จะติดตัวเขาไปตลอด

พอร่วมโครงการแล้ว ได้เอามาใช้กับ ‘มื้ออาหาร’ ลูกชายตัวแสบยังไงบ้าง
คือในโครงการจะมีอาวุธสำคัญ เรียกว่า มื้ออาหารของฮีโร่ (Hero Meal) เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังสุขภาพที่ดีให้กับเด็กวัย 3-5 ปี ซึ่งในมื้ออาหารนั้นก็จะประกอบไปด้วย ถาดและถ้วยฮีโร่ เมนูฮีโร่ สมุดและสติกเกอร์ฮีโร่ ไม่เพียงแต่ถาดฮีโร่จะมีลายซุปเปอร์ฮีโร่ดึงดูดความสนใจ ทว่ามันยังกำหนดอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับเด็กทุกมื้อ (ในถาดจะบอกปริมาณ/สัดส่วนเท่าไหร่ที่ควรให้) ทำให้เด็กไม่ต้องทานมาก หรือน้อยเกินไป เพราะบางทีพ่อแม่อย่างเราก็กะปริมาณไม่ถูกเหมือนกัน

ซึ่งพอเราเอามาใช้กับน้องภูปรากฏว่า ได้ผลดีมาก สนุกกับการทานขึ้น เขาได้สารอาหารครบถ้วน 5 หมู่แบบอิ่มกำลังพอดี และทานได้เยอะมากขึ้นโดยเฉพาะผักผลไม้ รวมไปถึงแก้วน้ำฮีโร่ อันนี้ก็ช่วยเราวัดปริมาณแก้วได้ด้วยว่า เขาทานน้ำไปเท่าไหร่แล้วต่อวัน

จริงๆ ยังมีอีกหลายอย่างมากในโครงการ ที่น้องภูทานได้เยอะขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะสมุดกับสติกเกอร์ฮีโร่ช่วยด้วยนะ คล้ายๆ สมุดทำความดี อย่างเวลาที่เขาทานข้าวหมด ทานผักผลไม้หมด เราก็จะให้สติกเกอร์เป็นรูปผักบ้าง ผลไม้บ้าง หรือตุ๊กตาบ้างไปแปะติดในสมุด ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่จะชอบอะไรแบบนี้ เพราะรู้สึกเหมือนได้รับของรางวัล มันก็ทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้น และอยากจะทำดีขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้ในโครงการยังได้มีส่วนร่วมในการแสดงละครเพลงด้วย ?
ใช่...ถือเป็นละครเพลงครั้งแรกของเราเลย เราได้ร่วมร้องเพลง ‘มาช่วยกันเปลี่ยน’ ซึ่งเป็นเพลงประจำโครงการฯ และเป็นเพลงในละครเพลง ตอนแรกที่ร้องรู้สึกเขินมาก (หัวเราะกลบความเขิน) แต่ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี เนื้อหาเพลงจะเกี่ยวกับการชักชวนให้ทุกคนมาร่วมมือกันส่งเสริม 3 สุขนิสัย เพื่อสุขภาพที่ดีของเด็ก อันได้แก่ การทานอาหารที่หลากหลาย เพิ่มผักและผลไม้, การเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม, และการขยันขยับ ทำกิจกรรมให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว ซึ่งสิ่งเหล่านี้พ่อแม่ควรปลูกฝังลูกๆ อายุ 3-5 ปี เพื่อให้เติบโตขึ้นมามีสุขภาพดี แข็งแรง

เคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีสไตล์ ป๋อ ณัฐวุฒิ
นอกจากจะเอา มื้ออาหารของฮีโร่ (Hero Meal) มาใช้แล้ว เพื่อที่ลูกจะได้ทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ ในปริมาณที่พอเหมาะ เราว่าการปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นอยู่กับธรรมชาติจะช่วยให้เขาเติบโตมามีสุขภาพแข็งแรงได้ ปล่อยให้ลูกอยู่กับธรรมชาติ เดิน-วิ่งเล่นบนสนามหญ้า ได้ขยับร่างกายเยอะๆ ก็จะช่วยให้เขาแข็งแรง อีกทั้งยังได้เรียนรู้ธรรมชาติมากขึ้น ฟังเสียงนก เสียงสายลม มันก็พลอยทำให้สภาพจิตใจเขาดีตามไปด้วย

อย่างที่บอก เราเชื่อว่าเด็กที่โตมากับธรรมชาติจะมีความแข็งแรง แข็งแกร่ง ทั้งกายและใจ แต่ก็มีเหมือนกันที่ภรรยาเป็นห่วงว่า ออกไปวิ่งเล่นทุกวันจะป่วยไหม โดนแดดมากๆ จะเป็นไรไหม ปรากฏว่าลูกไม่เคยป่วยเลยนะ ร่างกายแข็งแรงมากจริงๆ พอลูกได้ตากแดด ตากลม ออกกำลังกายบ่อยๆ มันก็จะทำให้เขาแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่ง

เหนือสิ่งอื่นใด เราว่าพ่อแม่ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก เช่น ถ้าอยากให้ลูกมีสุขภาพดี อยากให้ลูกทานผัก หรือทานอาหารครบ 5 หมู่ พ่อแม่ก็ควรต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ทาน-ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วไปบังคับลูกให้ทาน แบบนี้ยังไงสุดท้ายแล้วลูกก็ไม่ทานอยู่ดี อย่างเราอยากให้ลูกทานผัก เราก็ซื้อดินสำเร็จสำหรับเพาะต้นกล้ามาเลย แล้วโรยเมล็ดปลูกผักเอง ไม่เกิน 7 วันก็ขึ้นแล้ว เราก็จะสอนลูกให้ลองปลูกลองทำดู ลูกจะได้เรียนรู้ว่ามันเป็นยังไง เอาเมล็ดใส่ในหลุมแล้วเอานิ้วกดๆ เขาก็ได้ออกกำลังกาย ได้ขยับร่างกาย ซึ่งพอลูกได้ลองทำแล้วก็ชอบนะ

สอนเขาต้องหมั่นเพียรรดน้ำทุกวัน พอผักเริ่มเป็นต้นขึ้นมา เขาก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ มันยังช่วยฝึกเรื่องความอดทนด้วย เราว่ามันดีนะ สอนให้ลูกทานผัก และรู้จักปลูกผักทานเอง ซึ่งเหล่านี้เราไม่ได้ใส่ยาฆ่าแมลงอะไรเลย ลูกก็สามารถเอามาทานได้เลย แพลนต่อไปก็คิดว่าจะสอนลูกปลูกดอกไม้ (หัวเราะ) สอนให้เขารู้จักพรวนดิน อยู่กับธรรมชาติ

สุดท้ายถ้าลูกโตขึ้น สิ่งที่คาดหวังต่อๆ ไป
เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าร่างกายเขาพร้อม จิตใจเขาพร้อม เขาจะทำทุกอย่างออกมาได้ดีหมด แต่ก่อนเราคาดหวังพยายามให้เขาทำโน่นทำนี่ ให้เรียนดนตรีบ้าง ให้เต้นบ้าง ปรากฏว่าใจเขาไม่พร้อมก็ไม่เอาเลย ทำไม่ได้สักอย่าง และตัวเขาเองก็เสียใจด้วยเพราะรู้สึกว่าทำไม่ได้ ยิ่งถ้าเราไปบังคับ เขาก็ยิ่งโทษตัวเองว่าทำไม่ได้ และเพิกเฉยกับสิ่งนั้นๆ ไป ตอนนี้เราเลยรู้สึกว่า วัยเขาไม่ต้องคิดอะไรเยอะหรอก แค่เตรียมร่างกาย และจิตใจให้พร้อมก็พอ ทานให้เยอะ กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำ นอนพักผ่อนเพียงพอ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็มาเอง

หลักๆ เอาเรื่องสุขภาพก่อน เพราะเขาอยู่ในวัยที่กำลังพัฒนาเรื่องสุขภาพ พอเขาสุขภาพดี-อารมณ์ดี มันก็ทำให้เขาทำอย่างอื่นได้ดีเอง เราว่าเด็กเป็นวัยที่ไม่ซับซ้อนเลยนะ อยากให้พ่อแม่หันมาโฟกัสลูกให้ถูกจุด ตอนนี้ลูกกำลังโต ร่างกายกำลังโต-กำลังแข็งแรง ก็ควรฝึกฝนให้เขามีความพร้อมก่อน ทั้งร่างกาย และจิตใจ แล้วสกิลทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการให้เขาเป็น มันจะทำได้เองโดยความมั่นใจของเขา เพราะว่าร่างกายจิตใจเขาพร้อม !