หนุ่มขับตุ๊กๆ ที่สุราษฎร์ธานี ลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือจากรัฐผลปรากฏคุณสมบัติไม่ตรง ข้อมูลจากสรรพากรพบมีรายได้จากการขายผลปาล์มสดกว่า 7 แสน ยืนยันไม่เคยมีสวนปาล์มพร้อมแจ้งความตร.หลังพบมีคนแอบอ้างเพื่อเลี่ยงภาษี

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.59 นายอานนท์ แสงธรรม อายุ 47 ปี เข้าพบ ร.ต.อ.จริยวัฒน์ แทนชื่น รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ หลังตรวจสอบพบว่า เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติตามโครงการสวัสดิการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยข้อมูลระบุว่า การตรวจสอบรายได้ พ.ศ.2558 จากฐานข้อมูลภาษีกรมสรรพากรเป็นผู้มีรายได้เกิน 100,000 บาท

นายอานนท์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพขับรถโดยสารตุ๊กๆ ในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี มานานกว่า 10 ปี และไม่เคยประกอบอาชีพอื่นใด หลังจากทราบว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ จึงได้สอบถามไปยังสรรพากรพื้นที่ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลการตรวจสอบ ก็พบว่า ตนมีรายได้จากการขายผลปาล์มสดเมื่อปี 2558 จำนวน 781,174 บาท ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้มีสวนปาล์ม หรือเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ทั้งนี้หลังตนเข้าพบเจ้าหน้าที่สรรพากร เจ้าหน้าที่ก็ได้มอบเอกสารให้ตนเพื่อนำมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อไป เนื่องจากขณะนี้นอกจากตนจะไม่มีรายได้แล้ว ยังถูกกรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งว่าตนเป็นผู้ค้างจ่ายภาษี และไม่ยื่นแบบภาษีแสดงรายได้ประจำปี 2559 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากตนจะถูกตัดสิทธิ์การช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ตนยังเป็นผู้ทำผิดตามกฎหมายภาษีอีกด้วย

พ.ต.อ.สมสิน เกิดผล รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า กรณีนี้เกิดเป็นคดีที่ 2 แล้ว หลังจากที่รัฐได้ให้ความช่วยเหลือเงินให้ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 ราย มีลักษณะของพฤติการณ์ที่เหมือนกัน คือ ยืนยันว่าไม่มีรายได้จากการขายผลปาล์มสด และเป็นการกระทำการแทนจากบริษัทแห่งหนึ่ง

...

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนจะสอบสวนปากคำผู้เสียหาย และบันทึกปากคำ ให้ผู้เสียหายนำไปยื่นต่อธนาคารเพื่อแย้งสิทธิ์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นไม่ให้เสียสิทธิ์รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ส่วนทางด้านคดีนั้น จะเร่งสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาดำเนินการขั้นต่อไป

สำหรับรายแรกนั้นเกิดกับ นายประสิทธิ์ ดิษฐวงศ์ อายุ 75 ปี ซึ่งร้องเรียนว่า ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากมีรายได้จากการขายผลปาล์มสดกว่า 1 ล้านบาท โดยมีรายงานแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2558

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า นายประสิทธิ์ เคยมอบเลขบัตรประชาชนให้กับเจ้าของสวนปาล์มรายหนึ่งนำไปเป็นหลักฐานว่าเป็นเกษตรกรผู้ขายผลปาล์มสด และใช้เป็นเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้ผู้ประกอบการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร หักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 0.5 เพื่อนำส่งสรรพากร

แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวว่า วิธีการใช้ชื่อบุคคลอื่นมาสวมเพื่อรายงานรายได้และการจ่ายภาษี เป็นวิธีการหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี หรือจะทำให้จ่ายภาษีลดลงนั่นเอง