ไวยาวัจกรวัดธรรมามูลวรวิหาร วัย 68 ปี ผู้เคยรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ 9 และพระราชินีถึง 2 ครั้ง เผยพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ เป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือน
เมื่อวันที่ 24 ต.ค.59 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังวัดธรรมามูลวรวิหาร ต.ธรรมามูล อ.เมืองชัยนาท เพื่อพูดคุยกับนายล้วน วศยางกูร อายุ 68 ปี ไวยาวัจกรประจำวัดธรรมามูล ผู้ที่เคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาที่วัดธรรมามูลวรวิหาร เมื่อปี พ.ศ.2498 เพื่อสักการะหลวงพ่อธรรมจักร พระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่โบราณ อายุกว่า 600 ปี
ทั้งนี้วัดธรรมามูลวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองชัยนาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ประวัติการก่อสร้างวัดมีอายุรวม 800 ปี มีประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญหลายต่อหลายครั้ง ย้อนไปเมื่อสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสต้นมายังวัดธรรมามูลวรวิหารถึง 3 ครั้ง เมื่อครั้งแรกในปี พ.ศ.2444 ครั้งที่สองในปี พ.ศ.2449 และครั้งที่สามในปี พ.ศ.2451 นับเป็นเกียรติประวัติแก่วัดและสร้างความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรชาวชัยนาทเป็น ล้นพ้น และน้ำจากหน้าวัดธรรมามูล ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่นำไปใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2478
...
ขณะเดียวกัน วัดธรรมามูลมีพระพุทธรูปสำคัญที่มีความเก่าแก่โบราณและมีความเป็นมาน่าอัศจรรย์ใจคือ หลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปปางห้ามญาติ สร้างด้วยปูนปั้น ประทับยืนบนดอกบัว ฝ่าพระหัตถ์ขวามีรูปธรรมจักรอันเป็นที่มาของชื่อ “หลวงพ่อธรรมจักร” รวมไปถึงประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อธรรมจักร ที่เล่าสืบต่อกันมา ทำให้เป็นที่เคารพและศรัทธาต่อผู้ที่เลื่อมใสเป็นจำนวนมาก
นายล้วน หรือลุงล้วน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2478 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาที่วัดธรรมามูลวรวิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อธรรมจักร ขณะนั้นตนอายุ 6 ขวบ ได้มีโอกาสรับเสด็จพร้อมกับยาย เพื่อนๆ และประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ตนยืนอยู่แถวหน้าสุด ก้มกราบด้วยความปลาบปลื้มปีติ ว่าในครั้งหนึ่งในชีวิตได้เห็นพระพักตร์ของในหลวงและราชินีอย่างใกล้ชิดทุกอิริยาบถ และที่ยังตราตรึงใจจวบจนทุกวันนี้คือ ทรงแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์ ที่แสดงออกโดยที่ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ว่า ท่านทรงเอ็นดูและรักปวงชนชาวไทยทุกคนเสมือนเป็นลูกของพระองค์เอง ซึ่งขณะที่ก้มลงกราบนั้น น้ำตาของตนและยายที่ไปรับเสด็จก็เอ่อล้นออกมาอย่างที่ไม่รู้สึกตัว
นอกจากนี้ยังเคยรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่สอง ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมืองอุทัยธานี ซึ่งครั้งนั้นตนได้ถวายธนบัตรใบละ 20 บาทให้ไป พ่อหลวงก็รับไปพร้อมทรงแย้มพระสรวลให้ด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่สองที่ตนได้เห็นพ่อหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
"ด้วยความปลาบปลื้มที่มีตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ตนได้ทำการสอนลูกหลานอยู่เสมอว่าให้ประพฤติปฏิบัติตนและยึดคำสอนของพ่อหลวงเป็นหลักในการดำรงชีวิต ส่วนตัวเองได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งเป็นไวยาวัจกรของวัดที่เคยรับเสด็จพระองค์อยู่ทุกวัน นานหลายสิบปี เพื่อทำนุบำรุงศาสนาพุทธ เป็นพสกนิกรที่ดีด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และจะทำแบบนี้ถวายแด่พระองค์ท่านจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต"
ทั้งนี้ลุงล้วนได้เคยพูดไว้กับคนในวัดว่า หากมีโชคลาภจะทำอะไรบางอย่างเพื่อพระองค์ ซึ่งในปี พ.ศ.2549 ลุงล้วนได้โชคลาภจากสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนหนึ่ง จึงจัดทำกรอบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสูงกว่า 3 เมตร มาประดิษฐานข้างหลวงพ่อธรรมจักรให้ประชาชนกราบไหว้จวบจนทุกวันนี้.