หัวเว่ย (Huawei) มั่นใจประเทศไทยมีศักยภาพด้านดิจิทัล ประกาศลงทุนทั้งในด้านเทคโนโลยีและแรงงาน พร้อมด้วยธุรกิจใหม่ Digital Power

นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในงาน Meet the press II ยืนยันว่า สำหรับหัวเว่ยแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่หัวเว่ยมีความต้องการที่จะสนับสนุนในด้านธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยวางแผนครอบคลุมทั้งสิ้นสามด้าน ได้แก่ การต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, การเพาะบ่มความสามารถทางด้านดิจิทัล และการสนับสนุนเอสเอ็มอี (SME) และสตาร์ทอัพ

นายเติ้ง กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดสองปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศความร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราชในการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาใช้ ซึ่งจะมีตั้งแต่ รถยนต์ขนส่งเวชภัณฑ์, บริการทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัล ผ่านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์โรค และในการเอกซเรย์ เป็นต้น

ส่วนธุรกิจ 5G ในประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมาหัวเว่ยได้ทุ่มงบประมาณราว 475 ล้านบาท สำหรับพัฒนา 5G ในธุรกิจต่างๆ เพื่อยกระดับสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี

พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้มีการลงทุนเพื่อเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้กับแรงงาน โดยได้เปิดหัวเว่ย อาเซียน อคาเดมี (Huawei ASEAN Academy) ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศไทย ทั้งในธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ มีจุดมุ่งหมายในการทำความเข้าใจด้านเทคโนโลยีและปรับเทคโนโลยีเข้าเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาธุรกิจต่อไป

อาเบล เติ้ง
อาเบล เติ้ง

...

นายเติ้ง กล่าวต่อไปว่า ในปี 2021 นี้ หัวเว่ยได้ก่อตั้งธุรกิจที่มีชื่อว่า Digital Power ขึ้นในประเทศไทย โดยปัจจุบันมีลูกค้าในภาคองค์กรกว่า 1,000 แห่ง ซึ่งความน่าสนใจของธุรกิจนี้ เนื่องจากมีผู้เล่นไม่เยอะมาก จึงทำให้หัวเว่ยกวาดรายได้จากธุรกิจนี้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ธุรกิจ Digital Power เป็นธุรกิจที่แยกมาจากหัวเว่ยที่เป็นบริษัทแม่ โดยได้คิดค้นเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า X-in-1 ePowertrain ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และจากการที่ Digital Power มาเปิดธุรกิจในประเทศไทย ทำให้เกิดการจ้างงานทางอ้อมรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,000 ตำแหน่ง.