เปิดวิธีคิด สตาร์ทอัพ (Startup) BeaTrust ญี่ปุ่น ระดมทุนใหม่ได้กว่า 80 ล้านบาท ตอบโจทย์องค์กรแนวใหญ่ สร้างแพลตฟอร์มช่วยให้พนักงานหาคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้มาทำงานร่วมกัน เตรียมรุกตลาดญี่ปุ่น และอาเซียนเร็วๆ นี้

สตาร์ทอัพ BeaTrust นี้เพิ่งก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา อายุได้ประมาณ 4 เดือน สามารถระดมทุนได้ 2.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 87 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 31 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

การระดมทุนเริ่มต้นนี้เป็นระดับ Seed Round คือธุรกิจสตาร์ทอัพที่เริ่มเปิดตัวบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ โดยกลุ่มทุนที่เห็นว่าเป็นไปได้ในทางธุรกิจ จนอยากลงทุนด้วย มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่ม CyberAgent Capital, DNX Ventures, ITOCHU Technology Ventures, STRIVE, One Capital เป็นต้น

บริการของ BeaTrust คือแพลตฟอร์มให้พนักงานในองค์กรใหญ่ สามารถหาเพื่อนร่วมงานต่างแผนกมาร่วมทำโปรเจกต์ร่วมกัน โดยคนที่มาร่วมกันจะมีความสนใจเหมือนกัน มีทักษะที่ส่งเสริมการทำงานกัน ซึ่งบริการในแพลตฟอร์มนี้จะเปิดให้พนักงานใส่ข้อมูลส่วนตัว เช่น โปรไฟล์ ทักษะความสามารถ และประสบการณ์

เปิดไอเดียสตาร์ทอัพ BeaTrust ญี่ปุ่น ช่วยพนักงานหากันจนเจอ

...

สำหรับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพบริษัทนี้ คือ Kunio Hara และ Masato Kume ที่ต่างก็ทำงานกันมาแล้วหลายแห่ง และล่าสุดมาเจอกันที่กูเกิลในญี่ปุ่น ซึ่งที่มาของไอเดียในการพัฒนาแพลตฟอร์ม BeaTrust นั้น Hara เปิดเผยว่ามาจากการทำงานที่กูเกิล ที่พบว่าในการทำงานบางอย่าง จะมีเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่างๆ มาร่วมกัน การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเพื่อนร่วมงานจากชาติต่างๆ ต้องการระบบการสื่อสาร ช่องทางการหารือกันเพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ

ไอเดียในแพลตฟอร์มนี้ คาดว่าจะเป็นที่ต้องการขององค์กรใหญ่ในญี่ปุ่น เพราะจะช่วยปรับเปลี่ยนการทำงานในองค์กรบริษัทญี่ปุ่น ที่มักจะมีลักษณะการสั่งการจากระดับผู้บริหาร มายังพนักงาน มีลักษณะการทำงานเฉพาะแผนกของตัวเอง และมีกฎระเบียบเคร่งครัด ซึ่งยากที่จะทำให้พนักงานแผนกต่างๆ ได้มาเจอและทำงานร่วมกันได้ราบรื่น นี่เป็นบรรยากาศที่เมื่อองค์กรได้พนักงานที่มีความสามารถ แต่เมื่อเจอบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ก็ทำให้งานใหม่ๆ ไม่เกิดขึ้น

เป้าหมายต่อไป จะมีขยายบริการไปในยุโรป และอาเซียนอีกด้วย ที่ไม่เพียงตอบโจทย์องค์กรที่ต้องหาทางให้พนักงานได้ทำงานอย่างสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นไปตามกระแสที่ผู้คนต้องทำงานร่วมกัน แม้จะต้องเว้นระยะห่างกัน เพราะโควิด-19 ด้วย

ที่มา : BeaTrust, techcrunch