สถาบันไอเอ็มซีมองเทรนด์ไอทีปี 2017 ชี้ FinTech หรือ เทคโนโลยีด้านการเงินที่จะส่งผลกับทุกธุรกิจ ที่ต้องรับเงินค่าบริการจากลูกค้า ขณะที่เทคโนโลยีระบบไอทีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ย้ำองค์กรไทยต้องปรับตัวหากทำไม่ทันก็อยู่ไม่ได้...
ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี กล่าวว่า เทรนด์ที่มาแรงอันดับ 1 ในปี 2017 คือการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอลหรือ Digital Transformation โดยเทคโนโลยีการเงิน Fintech จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแบบปูพรม เนื่องจากทุกธุรกิจต้องรับการจ่ายเงิน สิ่งสำคัญที่สุดที่ธุรกิจไทยควรทำก่อนปี 2017 คือ ต้องตระหนักรู้ถึงกระแสโลกที่เปลี่ยนไป เนื่องจากองค์กรไทยหนีไม่พ้นผลจากเทคโนโลยีที่มีความอัจฉริยะยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ก็อาจอยู่ไม่ได้ในที่สุด การตระหนักรู้เพื่อเตรียมพร้อมยังสำคัญมากสำหรับการปรับตัวในวันที่รัฐบาลไทยเดินตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล “ประเทศไทย 4.0” จุดนี้สถาบันไอเอ็มซีมองว่าองค์กรไทยควรรู้ว่าจะสามารถทำความฝัน Value Creation ซึ่ง เป็นโมเดลหลักของนโยบายนี้ได้ก็ต่อเมื่อองค์กรมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้องค์กรต้องจับตามองเทรนด์ไอทีอย่างใกล้ชิด

...
ผอ.สถาบันไอเอ็มซี กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์นี้ทำให้สถาบันไอเอ็มซีจัดงานสัมมนา IT Trends Strategic Planning 2017: Towards Thailand 4.0 ขึ้น เนื้อหาในหลักสูตรเน้นการวิเคราะห์กระแสโลกที่เข้ากับประเทศไทย จุดนี้สถาบันไอเอ็มซีระบุว่าจะอธิบายให้องค์กรเข้าใจว่าเทคโนโลยีทั้ง FinTech, Big Data Analytics, Internet of Things, เทคโนโลยีเสมือนจริง และเทคโนโลยีกระแสโลกเหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร และทำไมระบบ Cloud หรือ Big Data Analytics ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะปีไหน
“หลักสูตรในงานสัมมนานี้จะทำให้คนเข้าใจว่านับจากนี้ ตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ที่เคยทำนั้นอยู่ไม่ได้ กรณี FinTech ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ตอนนี้กลุ่มแบงก์รู้ตัวแล้วว่าที่เคยทำมานั้นอยู่ไม่ได้ เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดสาขาบางส่วนไป นี่เพียงแค่กลุ่มธนาคารกลุ่มเดียว ยังมีเอสเอ็มอีทั้งประเทศที่จะต้องพร้อมรับกับวิธีการจ่ายเงินที่เปลี่ยนไป ทุกคนต้องถามตัวเองว่าพร้อมไหม เพราะงานบางอย่างมันไม่มีให้ทำแล้วในยุคนี้ ยิ่งเมื่อรัฐบาลทำโครงการ Thailand 4.0 ทุกอย่างมันล้อกันมา เทคโนโลยีมีความอัจฉริยะ ถ้าเราตามไม่ทัน ศักยภาพการแข่งขันของเราก็จะตกลง การค้าขายก็จะตกลงตามไปด้วย ทั้งนี้ มีตัวอย่างการไม่ปรับตัวจนตามไม่ทันด้วยธุรกิจ เช่น สื่อบันเทิง เนื่องจากที่ผ่านมา บริการสตรีมมิ่งทีวีทำให้บริษัทเคเบิลทั่วโลกชะลอการเติบโต หรือยุคที่ร้านถ่ายรูปต้องปิดตัวลงเพราะความนิยมในกล้องดิจิตอล“ นายธนชาติ กล่าว

ด้าน นายศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออพติมุส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์การใช้ระบบไอทีในองค์กรไทยช่วงปีหน้าจะเป็นการสร้างคุณค่าหรือ Value Creation ไม่ใช่ Value Added หรือการเพิ่มคุณค่า จุดนี้องค์กรธุรกิจที่มีโมเดล “ประเทศไทย 4.0” เป็นเป้าหมาย จะต้องเข้าใจว่าถ้าต้องการก้าวไปได้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีทำให้ฝันเป็นจริง
ซีอีโอ บ.ออพติมุสฯ กล่าวต่อว่า ปีหน้าจะเป็นปีของ Value Based Technology แนว โน้มนี้ทำให้ผู้ขายสินค้าไอทีต้องเปลี่ยนวิธีเสนอสินค้า ด้วยการไม่เสนอขายเฉพาะตัวสินค้า แต่เสนอทั้งระบบโซลูชันที่จะทำให้ธุรกิจได้รับประโยชน์ทางธุรกิจได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น ผู้ขายระบบไวไฟ จะเสนอระบบที่ทำให้ธุรกิจเห็นโอกาสทำยอดขายที่เพิ่มขึ้น แทนที่จะเสนอแต่ความสามารถของระบบไวไฟในองค์กรอย่างเดียว”
นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า เชื่อว่าในวันที่รัฐบาลไทยผลักดันโครงการเศรษฐกิจดิจิทัล องค์กรไทยจะดำเนินธุรกิจในปีหน้าได้ไม่ยาก หากผู้ประกอบการสามารถเข้าใจเทรนด์เทคโนโลยี แล้วนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ไม่เพียงอีคอมเมิร์ซ แต่สิ่งที่มาคู่กันคือระบบชำระเงินดิจิทัล ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่สมบูรณ์ พวกนี้ถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อน ก็จะมีผลกระทบมหาศาล ยิ่งถ้าเรามองโมเดล “ประเทศไทย 4.0” เป็น เป้าหมาย การเปลี่ยนผ่านก็คือกระบวนการที่ธุรกิจต้องทำ และการจะทำได้นั้นต้องใช้เทคโนโลยี ตรงนี้หลักสูตรที่ออพติมุสร่วมมือกับสถาบัน IMC จะช่วยย่อยข่าว ให้มีเนื้อหาฟังง่าย ในวันที่ผู้บริหารไอทีไทยบางส่วนยังปรับตัวไม่ทัน.
สำหรับงานสัมมนา IT Trends Strategic Planning 2017 : Towards Thailand 4.0 นั้น กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14-15 ธ.ค.2559 เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ ห้องเจ้าพระยาบอลรูม โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา.
...