แกะกล่อง IT พาคุณไปแกะกล่องไอโฟน 7 พลัส สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจากแอปเปิล กับความหรูหราและดุดันภายใต้ตัวเครื่องสีใหม่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่แอปเปิลการันตีว่าพัฒนามาเพื่อผู้ใช้…
ครั้งนี้ "แกะกล่อง IT by PRISM" มาพบกับทุกท่านในกำหนดพิเศษที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะต้องการนำข้อมูลของ "ไอโฟน 7" (iPhone 7) และ "ไอโฟน 7 พลัส" (iPhone 7 Plus) พี่น้องสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจากแอปเปิลมาบอกต่อให้ทุกท่านได้ทราบ พร้อมกับการเริ่มต้นจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นวันนี้เป็นวันแรก โดยบรรดาผู้ให้บริการเครือข่าย (โอเปอเรเตอร์) ก็จะเริ่มทยอยส่งมอบเครื่องลอตแรกให้แก่ลูกค้าที่ได้แสดงความสนใจซื้อล่วงหน้าเป็นวันแรก เช่นเดียวกับ แอปเปิล วอตช์ ซีรีส์ 2 (Apple Watch Series 2) ที่เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันนี้เป็นวันแรก ซึ่งเราขออุบไว้ก่อน แต่รับรองว่ารอไม่นานแล้วจะรีบนำมาให้ชมก่อนใคร!
ส่วนไอโฟนที่เราได้นำมาแกะกล่องในครั้งนี้ เป็นไอโฟน 7 พลัส สีดำเจ็ทแบล็ค ซึ่งเป็นสีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเป็นหนึ่งในเฉดสีใหม่ของไอโฟน และแม้ว่าเราจะเคยพูดถึงคุณสมบัติและสิ่งที่แอปเปิลพัฒนามาใส่ไว้ในไอโฟน 7 และ 7 พลัส ไปหลายครั้งแล้ว แต่วันนี้เราจะมารีวิวให้ทุกท่านได้เห็นภาพกันอีกรอบ! แถมด้วยภาพของไอโฟน 7 สีดำ เพื่อให้คุณได้เปรียบเทียบว่าสีไหนจะถูกใจกว่ากัน
...
เลนส์คู่...คือความพิเศษ
ในภาพรวม ทั้งไอโฟน 7 และไอโฟน 7 พลัส นั้นมาพร้อมกล้องด้านหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องด้านหลัง 12 ล้านพิกเซล แต่ความแตกต่าง คือ กล้องเลนส์คู่ที่มาพร้อมกับไอโฟน 7 พลัส โดยแบ่งเป็นเลนส์ไวด์ (Wide) และเลนส์เทเล (Tele) ซึ่งทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ ทำให้ไอโฟน 7 พลัส (ย้ำอีกครั้งว่า เฉพาะรุ่นดังกล่าว) สามารถใช้งานโหมดการถ่ายภาพนิ่งที่เรียกว่า "ภาพถ่ายบุคคล" (Portrait) เพื่อปรับภาพถ่ายให้เป็นแบบด้านหน้าชัดด้านหลังเบลอได้โดยอัตโนมัติ เรียกว่าง่ายขึ้นสำหรับคนอยากมีภาพถ่ายแบบพอร์ทเทรตเหมือนถ่ายภาพด้วยกล้องมืออาชีพโดยไม่ต้องไปตกแต่งภาพแอพพลิเคชั่น
จัดเต็ม! อำนวยความสะดวกการถ่ายภาพ
นอกจากกล้องจะมีการพัฒนาขึ้นแล้ว ตระกูลไอโฟน 7 ยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติแบบออปติคอล โดยกล้องด้านหลัง...ไอโฟน 7 จะสามารถซูมดิจิตอลได้สูงสุด 5 เท่า แต่ไอโฟน 7 พลัส จะสามารถซูมออปติคอลได้ 2 เท่า และซูมแบบดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า มีรูรับแสงขนาด F1.8 (โดยไอโฟน 7 พลัส จะมีรูรับแสง F1.8 สำหรับเลนส์ Wide และรูรับแสง F2.8 สำหรับเลนส์ Tele) ชุดเลนส์ประกอบด้วยเลนส์ 6 ชิ้น ชัตเตอร์สามารถจับภาพเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีการเก็บภาพแสงขาวซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และเป็นครั้งแรกบนไอโฟน ขณะที่ แฟลช ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นจากทูโทนแฟลชเป็นทูโทนแฟลช LED แบบ 4 ดวง ช่วยให้ระยะการยิงแฟลชนั้นไกลขึ้น
ในส่วนของกล้องหน้าที่มีความคมชัด 7 ล้านพิกเซลนั้น ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า AIS (Auto Image Steplightstation) ออกแบบมาเพื่อรองรับการถ่ายภาพด้วยกล้องด้านหน้า ระบบตรวจจับใบหน้าและร่างกาย ป้องกันภาพสั่นไหว รูรับแสงขนาด F2.2 และเรติน่าแฟลช นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่นยังสามารถบันทึกวิดีโอความคมชัดสูงสุดระดับ 4K ที่ 30fps พร้อมด้วยเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวอีกด้วย
...
...
...
จอภาพและน้ำหนัก
ไอโฟน 7 มาพร้อมจอภาพเรติน่า เอชดี (Retina HD) ขนาด 4.7 นิ้ว เช่นเดียวกับไอโฟน 7 พลัส ที่มาพร้อมขนาด 5.5 นิ้ว ส่วนน้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 138 กรัม และ 188 กรัม ตามลำดับ
ชิปใหม่ A10 Fusion
พูดถึงระบบประมวลผลที่จะทำให้เครื่องสามารถรองรับการใช้งานได้ดีขึ้นสักหน่อย... ไอโฟนตระกูลนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า A10 Fusion แบบ 4 คอร์ 64 บิต และมีโปรเซสเซอร์ร่วม M10 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว ฉลาดในการเลือกใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยแอปเปิลการันตีว่า CPU รวดเร็วขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว และกราฟิกเร็วขึ้นราว 3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับไอโฟน 6
IP67 กันน้ำกันฝุ่น
หลังจากที่รอคอยกันมานาน ไอโฟนตระกูล 7 ก็มาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นแล้ว โดยเรียกว่าเทคโนโลยี IP67 ซึ่งมีความหมายว่าสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึกไม่เกิน 1 เมตร นานไม่เกิน 30 นาที
ปุ่ม Home แบบใหม่
ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่ปุ่มโฮม (Home) ของไอโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ยังได้รับการออกแบบใหม่ โดยใช้เป็นวัสดุชิ้นเดียวเป็นแผ่น เพื่อตอบสนองการใช้งานให้ดีขึ้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปรับระดับความลึกของการกดได้ 3 ระดับ โดยเครื่องจะตั้งค่าไว้ให้ที่ระดับ 2 หากต้องการปรับลดหรือเพิ่มต้องเข้าไปตั้งค่าเองที่ การตั้งค่า (Settings) ทั่วไป (General) ปุ่มโฮม (Home Button) นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID)
จอภาพสว่างที่สุดของไอโฟน
ตระกูลไอโฟน 7 นี้ แอปเปิลการันตีว่ามาพร้อมกับขอบเขตสีที่กว้างและสว่างยิ่งขึ้น โดยเป็นหน้าจอประเภทเดียวกับที่ใช้บนไอแพด โปร (iPad Pro) ทำให้มีสีสันมากขึ้น 25% สว่างขึ้น 25% เมื่อเทียบกับไอโฟน 6 และแน่นอนว่า...รองรับเทคโนโลยี 3D Touch เช่นเคย
ลำโพงทรงพลังขึ้น
ทั้งไอโฟน 7 และไอโฟน 7 พลัส มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตอริโอ ซึ่งเพิ่มจำนวนเป็น 2 ตัว อยู่ด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ทำให้มีไดนามิกของเสียงมากกว่าไอโฟน 6 เอส ประมาณ 2 เท่า
แบตเตอรี่ พลังยาวนานกว่าทุกรุ่น
แอปเปิลการันตีเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่ของไอโฟน 7 และไอโฟน 7 พลัส ไว้ว่าเป็นไอโฟนที่มีแบตเตอรี่รองรับการใช้งานได้นานที่สุดในบรรดาไอโฟน โดยไอโฟน 7 จะสามารถรองรับการใช้อินเทอร์เน็ตแบบ 4จี ได้สูงสุด 12 ชั่วโมง และ 14 ชั่วโมง เมื่อเชื่อมต่อด้วยไว-ไฟ ส่วนไอโฟน 7 พลัส อาจอยู่ที่ 13 ชั่วโมง และ 15 ชั่วโมง ตามลำดับ โดยเฉลี่ยก็คือสามารถใช้งานได้นานกว่าไอโฟน 6 เอส และ 6 เอส พลัส ได้นานขึ้น 1-2 ชั่วโมงนั่นเอง
สรุป...ต้องรู้!!!
1. ว่ากันด้วยสีของไอโฟน 7 พลัส ที่เราได้สัมผัสในครั้งนี้...สีดำเจ็ทแบล็คนั้นสวยจริง แต่เรื่องของรอยนิ้วมือที่หลายคนกังวลก็เกิดขึ้นจริงเช่นกัน แต่หากคุณเป็นคนที่ใส่เคสให้มือถือหรือติดฟิล์มที่ตัวเครื่อง เราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของคุณ! เพราะสีเจ็ทแบล็คนั้นผ่านการเคลือบและขัดผิวมาแล้วจึงทำให้ผิวสัมผัสดูเงางาม และเหมือนเป็นวัสดุชิ้นเดียวทั้งด้านหน้าและหลัง แต่อีกสีที่เราเชียร์ว่าสวยหรู คือ สีเงิน ถ้ามีโอกาสได้เห็นเครื่องจริงก็ลองพิจารณากันดู ว่าสีไหนถูกใจคุณมากกว่ากัน
2. เรื่องความทนฝุ่นทนน้ำที่หลายคนอยากรู้ จากการทดลองในช่วงที่กรุงเทพฯ มีฝนตกอยู่บ่อยครั้ง เราพบว่าเครื่องสามารถทนต่อการใช้งานในน้ำได้จริงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แต่คงต้องบอกก่อนว่า นี่เป็นการทดลองระยะสั้น เรานำเครื่องไปสัมผัสน้ำฝนที่ตกอย่างหนัก สัมผัสกับน้ำจากก๊อกอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ได้มีโอกาสทดลองใช้งานในน้ำ (ความลึกไม่เกิน 1 เมตร) แต่อย่างใด และต้องย้ำให้เข้าใจอีกซักครั้งว่า...แม้ไอโฟน 7 และ 7 พลัส จะมีมาตรฐาน IP67 แต่แอปเปิลได้ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเครื่องไม่รองรับความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุทางน้ำ ซึ่งนั่นหมายความว่า แอปเปิลไม่แนะนำให้คุณถือไอโฟน 7 หรือ 7 พลัส ลงไปแหวกว่ายหรือถ่ายภาพใต้น้ำแต่อย่างใด
3. หากคุณต้องการใช้โหมดการถ่ายภาพบุคคลของไอโฟน 7 พลัส ขณะนี้...คุณต้องดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ www.beta.apple.com เพื่อติดตั้งลงบนไอโฟน 7 พลัสของคุณซะก่อน โดยทางแอปเปิลระบุว่าขณะนี้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังเป็นเพียงเวอร์ชั่นเบต้า หรือ เวอร์ชั่นทดลองใช้งานนั่นเอง ซึ่งตามกำหนดเดิมแอปเปิลเตรียมจะเปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นสมบูรณ์ในช่วงปลายปีนี้ แต่มีกระแสตอบรับจากผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากจึงเปิดให้ดาวน์โหลดเวอร์ชั่นทดลองเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจากการใช้งานโหมดดังกล่าว ส่วนตัวคิดว่าไอโฟนทำได้ดีน่าพอใจและใช้งานง่ายมาก (หากไม่นับขั้นตอนที่ต้องไปทำการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากเว็บไซต์ด้วยตนเอง) ส่วนเรื่องคุณภาพนั้น เชิญพิจารณาจากภาพที่เรานำมาให้ชม
4. ใครที่กังวลกับเรื่องช่องไลท์นิ่ง (Lightning) ที่ทำให้การใช้หูฟังยุ่งยากขึ้นนั้น เรามองว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลเพราะในกล่องจะมีหัวแปลงสายจากแบบไลท์นิ่งให้เป็น 3.5 มม. อยู่แล้ว ถ้าอยากใช้หูฟังประเภทเก่าก็สามารถใช้งานได้เช่นเดิมเพียง แต่เสียบหัวแปลงสายเข้าไปก่อน แต่ทีนี้จะมีปัญหาแค่...คุณไม่สามารถฟังเพลงไปพร้อมกับการชาร์จแบตนั่นเอง แต่เชื่อเถอะว่า อนาคต (อันใกล้) ต้องมีอุปกรณ์เสริมออกมารองรับความต้องการดังกล่าวอย่างแน่นอน
5. เป็นอีกเทคโนโลยีที่หลายคนอาจจะไม่รู้ สำหรับ แฮพติค เอนจิ้น (Haptic Engine) คือ การตอบสนองแรงกดเป็นการสั่น อธิบายง่ายๆ ก็คือ เมื่อคุณออกแรงกดลงไปที่หน้าจอเครื่องก็จะทำการสั่นเล็กน้อย เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการกดนั้น โดยมีอยู่ในหลายๆ แอพพลิเคชั่นที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง เช่น การตั้งเวลาในนาฬิกา, การเลือกดูแจ้งเตือน เป็นต้น นอกจากนี้เริ่มมีผู้ให้บริการแอพพลิเคชั่นนำคุณสมบัติดังกล่าวไปพัฒนาแล้ว เช่น เกมซอมบี้และเกมเอฟวัน เพื่อทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ขณะที่มีการกดหน้าจอเพื่อยิงซอมบี้ หรือขับรถชนสิ่งกีดขวาง เป็นต้น
6. ขอพูดถึงซักนิด สำหรับแอร์พอดส์ (AirPods) เพราะเรามีโอกาสได้สัมผัสและทดลองใช้จริงในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าการเชื่อมต่อกับไอโฟนนั้นทำได้ง่ายกว่าที่คิด เพียงเปิดหน้าจอไอโฟน เปิดฝากล่องใส่แอร์พอดส์พร้อมกับกดปุ่มที่ด้านหลังกล่องค้างไว้ ก็สามารถเชื่อมต่อและพร้อมใช้งานได้ทันที ส่วนเรื่องน้ำหนักและการใช้งานนั้น ถือว่าทำได้ดีด้วยคุณภาพเสียงที่ไม่แพ้แบรนด์หูฟัง แต่เราก็ยังกังวลเกี่ยวกับการใช้งานอยู่เล็กน้อย ว่าหากนำไปใช้จริงในขณะออกกำลังกายหรือใช้ในชีวิตประจำวันที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จะมีโอกาสหลุด หรือหล่นหายได้ง่ายหรือไม่ เอาเป็นว่า...หากได้มีโอกาสทดลองใช้งานในครั้งต่อไป เราจะทดลองให้นานขึ้นและนำรายละเอียดมาบอกอีกครั้ง แต่ถ้าคุณสนใจ บอกเลยว่าเตรียมเงินให้พร้อมเพราะแอร์พอดส์จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ โดยราคาขายในประเทศไทยอยู่ที่ 6,900 บาท (ราคาจากเว็บไซต์แอปเปิล ประเทศไทย)
7. ส่วนเรื่องที่ถามว่าจะซื้อดีมั้ย จะเลือกไอโฟน 7 หรือ 7 พลัสดีกว่า... เราขอให้คุณศึกษาและเปรียบเทียบราคาจากข้อมูลข่าว เคาะราคาไอโฟน 7 ค่ายมือถือทยอยเปิดจองวันแรก ราคาถูกสุด 13,450 บาท แล้วค่อยตัดสินใจ...!!!