“ดีค่ะ พอดีเห็นมีเวลาเล่น Internet สนใจอยากแบ่งเวลาบางส่วนมาสร้างรายได้หรือเปล่าค่ะ??? ทำช่วงเวลาว่างก็พอ ทำเป็นงาน Part Time หรือ Full Time ก็ได้ค่ะ หลังเลิกเรียน/หลังเลิกงาน... รับทุกจังหวัด

คุณสมบัติ: อายุ 18 บริบูรณ์ขึ้นไป, มีเวลาเล่นอินเทอร์เน็ตขั้นต่ำ 2-3 ชม./วัน รายได้ 2000-5000/อาทิตย์..”

ช่วงนี้ ชอบล้วงลึก เพราะคิดประเด็นที่ตัวเองก็สงสัยมาช้านานว่า...งานง่ายรายได้ดี มีจริงหรือ
จะได้เลิกทำงานประจำกัน มาทำงานง่ายรายได้ดีกะเค้าบ้าง เชื่อว่า คุณเองคง คุ้นๆ กันบ้างกับข้อความเหล่านี้ ซีว่านะ หลายๆ คนคงเคยเจอ มีคนส่งมาให้ผ่านเฟซบุ๊กแน่นอน ไม่ใช่แค่ข้อความแบบนี้นะ รวมถึงกลุ่มคนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับเงินเยอะๆ ลงเฟซบุ๊ก ถ่ายตัวเองกับบ้านหรือว่ากับรถยนต์ แล้ว “แท็กคนอื่นต่อเยอะแยะมากมาย” ...อยากถามเหมือนกันว่า ...ทำทำไมอ่ะ!!!?

หลังจากแอบเก็บข้อมูลอยู่นานพอสมควร สายสืบซีก็ค้นพบว่า “โฆษณาเชิญชวนเหล่านี้ งานจริงๆ ของมันมี 2 แบบ คือ งานขายตรงและงานแชร์ลูกโซ่นั่นเอง “

...

มาทำความเข้าใจกันหน่อยละกันระบบเครือข่าย “ขายตรง VS แชร์ลูกโซ่”

ขายตรง...คืออะไร? การขายตรงนั้นชัดเจนอยู่แล้ว คือ เน้นที่ขายสินค้าจริงๆ ส่วนผลตอบแทนขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย แต่การที่จะมียอดขายสูงๆ ได้ ก็จำเป็นต้องมีคนซื้อจำนวนเยอะๆ ต้องชวนคนมาเยอะๆ ง่ายๆ ก็คือ คนที่ชวนคนเข้างานได้เยอะ เปอร์เซ็นต์ที่ได้ก็จะเยอะ รายได้ก็เข้ากระเป๋าคนที่ชวนมา คนที่ถูกชวนก็อยู่ใต้สายงานคนที่ชวน เงินก็จะเข้ากระเป๋าผู้นำสูงสุดที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้หาคนเลย สังเกตง่ายๆ เลย ดูที่รายได้หลักของบริษัท จะได้มาจากการขายนั่นเอง รายได้หลักของสมาชิกที่ทำธุรกิจขายตรงก็ได้มาจากเปอร์เซ็นต์จากการขาย ดังนั้นคนที่จะทำธุรกิจนี้ ซีว่านะต้องเป็นนักขายมือทองทีเดียว จึงจะประสบความสำเร็จได้

ส่วนแชร์ลูกโซ่ ธุรกิจนี้จะทำมาหากินกับการหาสมาชิกเป็นหลัก แล้วก็หักหัวคิวกันเป็นรายๆ ไป
ค่าสมัครมักจะแพง (เกิน 500 ก็ถือว่าแพง) เน้นการต่ออายุสมาชิก ธุรกิจจึงต้องหาสมาชิกตลอดเวลา ส่วนสินค้าของธุรกิจนี้แทบจะไม่มีความหมาย หรือแทบจะไม่พูดถึงกันเลยทีเดียว ส่วนมากจะมีตัวสองตัว หรือเป็นสินค้าที่ไม่มีความพิเศษอะไรเลย


เอาละมาถึงขั้นตอนกันบ้าง อย่างแรกเลย คือ เขาจะชวนคนผ่านทางอินเทอร์เน็ตคะ ทั้งทาง Facebook, Line, Twitter , Bee Talk และพวกโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ที่นี้เขาก็จะให้เรากรอก ชื่อ-นามสกุล, อายุ, เบอร์โทรศัพท์, จังหวัด และเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะติดต่อมา ชวนเราไปประชุม ไปฟังงานต่างๆ ซึ่งบางที่ก็จะให้เราเสียค่าคุยงาน ค่าเข้าฟัง ประมาณ 300-600 บาทซะส่วนมาก พอเราไม่ยอมจ่าย เขาก็มักจะใช้คำพูดว่า “ยอมเสีย 500 เพื่อให้ได้ 5000 คุ้มแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว” พอได้ยินจำนวนเงินเยอะๆ คนก็มักจะลังเล...แล้วเข้าร่วมไปในที่สุด พอเข้าไปนั่งส่วนมากก็จะพูดเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ ที่บริษัทผลิตออกมา ว่าดียังไง กินแล้วดียังไง ราคาต้นทุนเท่าไหร่ ขายราคาเท่าไหร่ ได้กำไรเท่าไหร่ต่อสินค้าตัวนั้น มีรูปรีวิวให้ดูด้วย

ต่อมาก็จะแนะนำวัยรุ่นที่มีรายได้หลักหมื่นขึ้นไปถึงหลักล้าน พูดและแชร์ประสบการณ์บนเวที แต่ก่อนมีชีวิตเป็นมาอย่างไร ยากจนลำบากมาขนาดไหน...กว่าจะได้มาขนาดนี้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก!!!

หลังจากนั้นเขาก็อาจจะให้เราสมัครสมาชิก เพื่อนำผลิตภัณท์ไปขายต่อ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะสมัครระดับไหน ราคาในแต่ละดับก็จะแตกต่างกัน และในแต่ละละดับเราก็สามารถซื้อสินค้าในราคาที่แตกต่างกัน สมัครแพงระดับสูงก็ซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลง เมื่อสมัครเสร็จ สิ่งที่เราต้องทำคือต้องรักษายอดขายของเราไว้ แล้วนั่นแหละเราก็ต้องเริ่มชวนคนมาซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…ฟังแล้วเริ่มรู้สึกว่า “งานไม่ง่าย อย่างที่คิดนะ”

...

และที่สำคัญนะคะ บริษัทส่วนมาก มักจะเอารถสปอร์ตหรูมาจอดเรียงกันไว้หน้าตึก เพื่อโชว์ถึงความสำเร็จ ทำให้คนอยากมาเข้าร่วมมากขึ้น...คนที่ไม่เชื่อ ก็ตั้งข้อสงสัยว่า “เช่ามาโชว์” หรือเปล่าน้า?...อันนี้ซีไม่ฟันธงนะคะ

ทีนี้ คำถามก็คือ...งงมั้ยคะ ว่ามันเป็นการทำงานผ่านเน็ตตรงไหน??? อาจจะหมายถึง ให้เราชวนคนผ่านทางอินเทอร์เน็ตมั้ง? ลองตั้งข้อสงสัยว่า...ถ้างานเหล่านี้มันเป็นไปตามที่เชิญชวนจริง ทำได้จริงๆ คนคงไม่ต้องออกไปทำงานประจำกันแล้ว ส่งอีเมลอยู่กับบ้าน ทำงานที่บ้าน ได้เงินเยอะขนาดนี้ รวยกันทั่วสิ...

แต่จะว่าไปเท่าที่แหล่งข่าวสืบทราบมาเล่าให้ฟัง ทุกๆ ห้องประชุมก็มีคนเต็มเกือบทุกห้อง ห้องนึงจะมีประมาณ 50-100 คนขึ้นไป แสดงว่าเยาวชนเราหลงเชื่อ...ไม่น้อย จาก “จำนวนเงินที่ดูหอมหวน ชวนอยากรวย”!!!!

มีคนเคยบอกว่า “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง” แต่ “ความภูมิใจในการหาเงิน” คือเส้นทางที่เราเรียกมันได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า “อาชีพของเรา” เป็นสิ่งที่เราจะเติบโตและเรียนรู้ไประหว่างทางกับมันต่างหาก คือ “การใช้ชีวิต”