ลองเช็กพฤติกรรมการทำงานของคุณสักหน่อย ว่าจะเลือกทำงานแบบไหน Work Hard หรือ Work Smart เพื่อปลายทางสุ่ความสำเร็จของผลงาน…

ขึ้นชื่อว่า "วัยทำงาน" คุณนึกถึงภาพอะไรเกี่ยวกับคำนี้... แน่นอนว่าไลฟ์สไตล์และรูปแบบการทำงานของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนเลือก Work Hard บางคนชอบ Work Smart แต่คุณเคยสงสัยหรือเปล่า ว่าการทำงานแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเอง เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้การทำงานและความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

สำหรับการทำงานแบบ Work Smart เชื่อว่าจะช่วยให้คนทำงานมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่เคร่งเครียดกับงานมากเกินไป ส่วนการทำงานแบบ Work Hard หลายคนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ตั้งใจทุ่มเทให้งาน เพื่อสร้างสรรค์งานให้ออกมามีประสิทธิภาพ

ลองไปเช็กกันหน่อยดีมั้ย คุณเป็นมนุษย์เงินเดือนประเภทไหนกัน...?

ลักษณะคนทำงานแบบ Work Hard…

1. มาเช้ากลับดึก
ขณะที่คนทำงานคนอื่นๆ ทยอยกันกลับบ้าน แต่คนทำงานแบบ Work Hard จะยังคงนั่งปั่นงานต่อไป เพราะคนทำงานประเภทนี้จะมีงานเยอะอยู่ตลอดเวลา ทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ ก็จะมีงานชิ้นอื่นๆ ต่อคิวให้ทำอีกหลายต่อหลายชิ้น จนทำให้คนทำงานแบบ Work Hard ต้องอยู่ทำงานต่อที่ออฟฟิศจนดึก หรือประเภทมาเช้ากลับดึก

...


2. เสาร์-อาทิตย์ ยังจมอยู่กับงาน
แม้จะอยู่ทำงานที่ออฟฟิศจนดึก แต่งานก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ คนทำงานแบบ Work Hard จึงต้องหอบงานกลับไปทำต่อที่บ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางคืนหลังจากที่กลับมาจากออฟฟิศแล้ว หรือแม่แต่วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างวันเสาร์-อาทิตย์ คนทำงานแบบ Work Hard ก็ยังคงเคลียร์งานต่อไปอย่างขะมักเขม้น

3. งานสำคัญกว่าทุกสิ่ง!
การทำงานนี่แหละใช่ที่สุด สำหรับคนทำงานแบบ Work Hard ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่างานแล้วอีกแล้ว ใครจะไปไหน ทำอะไรก็ตาม แต่คนทำงานประเภทนี้ทำงานดีกว่า ไม่ค่อยให้เวลากับ แฟน ครอบครัว หรือคนรอบตัว

4. ตั้งใจและทุ่มเทเพื่อเป้าหมาย
คนทำงานแบบ Work Hard จะทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่ ถ้างานยังไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็จะยังคงทำงานต่อไป เพื่อให้งานลุล่วงไปได้

สไตล์คนทำงานแบบ Work Smart…
1. มาและเลิกงานตามเวลา
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน คนทำงานแบบ Work Smart จะเก็บของกลับบ้านทันที แต่อย่าเพิ่งมองว่าคนประเภทนี้ไม่ใส่ใจการทำงาน แต่พวกเขารู้จักจัดสรร บริหารเวลาระหว่างเวลาการทำงาน และเวลาส่วนตัวได้อย่างสมดุล


2. วิเคราะห์ วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ
คนทำงานแบบ Work Smart มีความสามารถในการจัดสมดุลชีวิตกับงานของตัวเองได้ เนื่องจากพวกเขามีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เมื่อได้รับมอบหมายงานมาก็จะนำมาวิเคราะห์ จัดเรียงลำดับความสำคัญของงาน กำหนด Timeline และ Deadline เพื่อให้ได้ทราบว่างานอะไรที่ต้องทำก่อนหรือทำหลัง

3. จัดการงานอย่างมีระเบียบ
เมื่อมีการวางแผนการทำงานแล้ว คนทำงานแบบ Work Smart ก็จะสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายมาได้อย่างเป็นระเบียบ ตามขั้นตอน งานที่สำเร็จออกมาก็จะเป็นผลงานที่สมบูรณ์

4. เต็มที่ในเวลางาน
ในเวลางานคนทำงานแบบ Work Smart จะเต็มที่กับการทำงาน เพื่อให้งานแต่ละชิ้นสำเร็จตาม Timeline และ Deadline ที่ได้กำหนดไว้ และถ้าหากงานเสร็จก่อนกำหนด คนทำงานพวกนี้ก็ยังสามารถกลับมาตรวจทานงานได้อีกด้วย

นอกจากขั้นตอนและพฤติกรรมที่มนุษย์งานนิยมทำ คุณสงสัยหรือไม่? การทำงานทั้ง 2 ประเภทนั้นให้ข้อดีและข้อเสียอย่างไร...


ผลจากการทำงานแบบ Work Hard นั้น คุณอาจทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย ได้รับคำชื่นชมจากหัวหน้างาน ได้รับการประเมินผลงานเป็นที่น่าพอใจ ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้างาน แต่…คุณอาจไม่มีเวลาพักผ่อน เนื่องจากทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานอย่างเต็มที่ สุขภาพเสื่อมโทรมจากการนอนน้อย นอนดึก และทานอาหารไม่เป็นเวลา ไม่มีเวลาเหลือสำหรับการดูแลตัวเอง ครอบครัว และคนรอบข้าง

ส่วนการทำงานแบบ Work Smart แน่นอนว่า...งานจะสำเร็จตามเป้าหมาย อาจได้คำชมจากหัวหน้างาน ได้รับการประเมินผลงานเป็นที่น่าพอใจ ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้า นอกจากนี้ก็ยังมีเวลาว่างสำหรับการพักผ่อนหรือกิจกรรมพัฒนาตนเองด้านอื่นๆ ทั้งยังมีวิธีจัดการกับความเครียดได้ดี ไม่มีความเครียดสะสม มีเวลาออกกำลังกาย และได้ทานอาหารตรงตามเวลา

แม้จะดูเหมือนการ Work Hard จะมีผลเสียมากกว่า Work Smart แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเหมาะสมกับการทำงานในรูปแบบเดียวกัน เอาเป็นว่าจะเลือกเป็นมนุษย์งานประเภทไหน ก็ลองปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์และรูปแบบงานของคุณ ดีกว่า…!

...

ที่มา : JobsDB.com