ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ รัฐบาลจีน ได้สั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้งาน iPhone และสมาร์ทโฟนแบรนด์ต่างประเทศในที่ทำงาน และอาจขยายคำสั่งห้ามออกไปไกลกว่านั้น แต่ไชนา โมบายล์ ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของประเทศจีน ยืนยันว่าในส่วนผู้ใช้งานทั่วไป iPhone 15 จะวางจำหน่ายตามปกติ

รายงานของวอลล์ สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ทางการจีนสั่งห้ามเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐบาลกลางใช้โทรศัพท์ไอโฟน และอุปกรณ์สื่อสารจากต่างประเทศในชั่วโมงการทำงาน พร้อมทั้งห้ามไม่ให้นำอุปกรณ์ดังกล่าวเข้าไปในสำนักงาน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการปลุกลัทธิชาตินิยมให้กลับมาอีกครั้ง

การสั่งห้ามพนักงานของรัฐใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสมาร์ทโฟนจากค่ายแอปเปิล ส่วนหนึ่งมาจากการตอบโต้รัฐบาลสหรัฐฯ จากประเด็นการแบนหัวเว่ย (Huawei) และติ๊กต่อก (TikTok)

ที่น่าสนใจการประกาศแบนเกิดขึ้นก่อนหน้าแอปเปิลซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมงานเปิดตัว iPhone 15 ในวันที่ 12 กันยายน หรือตรงกับวันที่ 13 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย

อ่านข่าวที่น่าสนใจเพิ่มเติม:

อย่างไรก็ดี แอปเปิลทราบดีว่า พวกเขาจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงวิกฤตินี้ เนื่องจากประเทศจีนถือเป็นลูกค้ารายสำคัญของแอปเปิล โดยเฉพาะการมาของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone 15 

นอกจากนี้ แอปเปิลยังเคยได้รับบทเรียนจากปัญหาทางการเมืองของสองประเทศเป็นอย่างดี ในช่วงปี 2019 ซึ่งเวลานั้น แอปเปิลมีผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง iPhone XR และ iPhone XS โดยในท้ายที่สุดทั้งสองรุ่นทำยอดขายได้ไม่ดีนักในแผ่นดินจีน กระทั่งสถานการณ์ค่อยๆ กลับมาดีขึ้นในปี 2021 และ 2022 แต่ก็อาจกลับมาแย่อีกครั้งในปีนี้ 2023

...

ทางด้าน ไชนา โมบายล์ ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายในจีน ตกเป็นข่าวว่า พวกเขาอาจยกเลิกแผนการนำเข้า iPhone 15 และ iPhone 15 Pro เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศจีน 

อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็นข่าวลือ และไชนา โมบายล์ เตรียมวางจำหน่าย iPhone 15 ตามปกติในปี 2023 เหมือนเดิม

ในเวลาเดียวกัน ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลจีน ไม่น่าสร้างแรงจูงใจจนเกิดการขยายคำสั่งการแบนการห้ามใช้ iPhone ไปยังกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป เนื่องจากว่า แอปเปิลเป็นบริษัทจากต่างประเทศที่ยังคงสร้างงาน สร้างรายได้ และมีการจ้างงานเป็นจำนวนที่มากกว่าหลายล้านตำแหน่งในประเทศจีน ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับการแบน เพราะนั่นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นในที่สุด

ที่มา: Bloomberg