One more Thing…

อย่าเพิ่งตกใจ...คราวนี้ไม่ใช่การแนะนำ iPhone รุ่นใหม่ แต่มันกลับเป็นความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของ Apple ที่จะทำให้ MacBook กลายร่างเป็น iPhone! ด้วยชิปตัวใหม่อันทรงพลังที่บรรจงพัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง และบางที...อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวงการไอทีครั้งใหญ่

โดยในอีเวนต์ส่งท้ายปีที่ยังคงมวลแน่นไปด้วย Covid-19 "ทิม คุก" (Tim Cook) CEO ของบริษัทผลไม้ ได้เปิดตัว MacBook Air, MacBook Pro และ Mac Mini รุ่นใหม่ ที่ใช้ชิปตระกูล A-series ที่ใช้ใน iPhone และ iPad เป็นครั้งแรก หลังใช้บริการ intel สำหรับการผลิตชิปให้กับ Laptop และ Desktop Computers มายาวนานถึง 14 ปี รวมถึงใช้เวลาร่วมทศวรรษเพื่อการวิจัยและพัฒนา และใช้เงินอย่างน้อย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อบริษัทอีกหลายสิบแห่ง ในที่สุด Apple ก็สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญในการสร้างชิปที่พวกเขาอวดอ้างว่า "เล็กแต่ทรงประสิทธิภาพ" ที่มีชื่อว่า "M1" ได้สำเร็จ

ส่วนหากถามว่า... M1 มันพิเศษอย่างไร?

"ทิม คุก" ให้คำจำกัดความเอาไว้สั้นๆ ว่า "มันคือ ชิปที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมา" (อีกแล้ว)

เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งทำหน้าเบื่อ คำอธิบายของจริงมันคือบรรทัดต่อจากนี้ไปต่างหาก...เชิญเหวี่ยงสายตาลงมาอ่านได้เลย...

เจ้า ชิป M1 ที่ว่า ซึ่งมีขนาดเพียง 5 นาโนเมตรนี้ Apple เปิดเผยว่า ถูกอัดแน่นไปด้วย CPU 8 Core, GPU 8 Core ทรานซิสเตอร์ 16,000 ล้านตัว สามารถประมวลผลกราฟิกในตัวได้ มีประสิทธิภาพด้านการเรียนรู้ของระบบด้วย Apple Neural Engine ที่สุดล้ำ ด้วยเหตุนี้เอง ชิป M1 จึงมอบประสิทธิภาพ CPU ที่เร็วขึ้นสูงสุด 3.5 เท่า ประสิทธิภาพ GPU ที่เร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่า และการเรียนรู้ของระบบที่เร็วขึ้นสูงสุด 15 เท่า ในขณะที่ยังสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้นสูงสุด 2 เท่าเมื่อเทียบกับ Mac รุ่นก่อนหน้า 

...

แล้วทำไม ชิป M1 จึงสำคัญสำหรับ Apple มากมายนัก?

คำตอบก็คือ... M1 ที่ถูกสร้างโดย Apple นี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนถ่ายที่เรียกว่า Apple Silicon เพื่อให้ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกันทั้งหมด!

นั่นเป็นเพราะ M1 เป็นชิปที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ ARM หรือ คือ ชิป CPU ขนาดเล็กใช้ชุดคำสั่งน้อยและกินพลังงานน้อย ที่นิยมใช้งานในอุปกรณ์พกพาต่างๆ อย่าง iPhone หรือ iPad ที่สามารถนำเข้าไปแทนที่ชิปสถาปัตยกรรมแบบ X86 หรือชิปชุดคำสั่งซับซ้อนที่นิยมใช้งานใน PC รวมถึงผลิตภัณฑ์ตระกูล Mac ในปัจจุบัน ส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นการสร้างสถาปัตยกรรมร่วมในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ทำให้นักพัฒนาสามารถเขียนและปรับปรุงแอปต่างๆ ของตนสำหรับระบบนิเวศ Apple ทั้งหมดได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทีนี้...เราไปดูกันว่า เมื่อนำชิปที่เดิมใช้งานใน iPhone และ iPad ไปใส่ใน MacBook รุ่นใหม่ ทั้ง 3 รุ่น จะทำให้เกิดผลอย่างไรขึ้นบ้าง?

MacBook Air

Laptop ที่ได้รับควมนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของ Apple เมื่อติดตั้งด้วย ชิป M1 เข้าไปแล้ว จะช่วยให้มันสามารถประมวลผลได้เร็วกว่า MacBook Air รุ่นก่อนหน้า 3 เท่าครึ่ง รวมถึงยังจะเร็วกว่า Laptop ของ Window ถึง 3 เท่าด้วย

และนอกจาก MacBook Air รุ่นใหม่ขนาด 13 นิ้วนี้ จะมีขนาดที่บางและเล็กลงแล้ว มันยังจะทำงานด้วย "ความเงียบสนิท" เนื่องจากมีการถอดพัดลมระบายความร้อนออกไป (เพื่อ...?) ด้วยเหตุนี้ ราคาเริ่มต้นของมันจึงอยู่ที่ 999 เหรียญสหรัฐฯ (ประเทศไทยราคาเริ่มต้น 32,900 บาท)

MacBook Pro

สำหรับ Laptop ระดับ Higher-end ของค่าย เมื่อถูก ติดตั้งด้วย ชิป M1 เข้าไปแล้ว ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้แม้แต่การเล่นวิดีโอความคมชัดระดับ 8K ลื่นไหลไร้สะดุด รวมถึงยังทำให้ระบบ Machine Learning สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และแน่นอน เร็วมากขึ้นด้วย!

แต่ที่เด็ดที่สุด และน่าจะทำให้คุณร้อง Wow ได้ดังๆ สักทีก็คือ ชิป M1 นี้ นอกจากจะเร็วมากแล้ว ยังช่วยเรื่องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับ MacBook Pro รุ่นใหม่ ได้ยาวนานถึง 17 ชั่วโมง! สำหรับกรณีที่คุณท่องไปในโลกอินเทอร์เน็ต และ 20 ชั่วโมง! สำหรับการเล่นวิดีโอ ส่วนราคาค่าตัวของมัน เริ่มต้นที่ 1,199 เหรียญสหรัฐฯ (ประเทศไทยราคาเริ่มต้น รุ่น 13 นิ้ว 42,900 บาท, รุ่น 16 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 49,900 บาท)

...

Mac Mini

สำหรับ Compact Desktop Computer ขนาดพกพาสะดวกนี้ เมื่อติดตั้งด้วย ชิป M1 นอกจากจะเร็วขึ้นแล้ว ยังเพิ่ม USB-C ports เพื่อความสะดวกในการเชื่อมต่อกับสารพัดอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำงาน โดยเฉพาะจอมอร์นิเตอร์ขนาดใหญ่ด้วย โดยมันมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 699 เหรียญสหรัฐฯ (ประเทศไทย ราคาเริ่มต้น 22,900 บาท)

อะไรคือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลัง M1 ปรากฏตัวขึ้น?

นักวิเคราะห์มองการตัดสินใจของ Apple ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการพัฒนา ชิป M1 ด้วยตัวเองเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...มันทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนวัลเลย์มีความได้เปรียบในหลายประการ

ประการแรก การที่ Apple ใช้ชิปที่พัฒนาขึ้นเอง โดยเริ่มจาก iPad, iPhone และกำลังขยายไปสู่ตระกูล Mac ทั้งหลาย จะทำให้ Apple สามารถควบคุมการอัปเดตและประสบการณ์การใช้งานของ User ได้มากขึ้น รวมถึงยังทำให้ Application ต่างๆ สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างราบรื่นมากขึ้นจนราวกับเป็นเครื่องเดียวกัน

...

โดย Apple อ้างว่า คอมพิวเตอร์ที่ใช้ ชิป M1 และทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Big Sur ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ของ Apple จะสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple ได้ดีมากขึ้น รวมถึง Application ที่ใช้กับ iPhone และ iPad จะยังสามารถใช้กับตระกูล Mac ได้อีกด้วย

และการที่ ชิป M1 มีขนาดเล็ก นั่นย่อมแปลว่า การออกแบบไลน์ผลิตภัณฑ์ตระกูล MacBook นับจากนี้เป็นต้นไป จะมีความเพรียวบางยั่วใจเหล่า Users ได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงบางทีอาจถึงเวลาที่ MacBook จะกลายร่างเป็น Laptop-iPad Hybrids (ถอดหน้าจอออกจากคีย์บอร์ดได้) สักทีด้วย!

แต่ที่น่าจับตามองนับจากนี้เป็นต้นไปมากที่สุดก็คือ หมุดหมายที่แท้จริงของ Apple สำหรับการเริ่มนำชิปชนิดเดียวกับที่ใช้ใน iPhone มาใช้กับ Laptop น่าจะมีเป้าประสงค์ที่แท้จริง คือ การระเบิดสงคราม 5G อย่างเต็มรูปแบบมากกว่า เพราะหากอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่าง Laptop สามารถเชื่อมต่อกับระบบ 5G ได้อย่างสมบูรณ์ขนาดนี้แล้ว

"ควรหรือที่จะปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป?"

บางทีตอนนี้ ค่ายมือถืออาจเตรียมคิดโปรเด็ดๆ สำหรับสินค้าตระกูล MacBook เอาไว้รอแล้วก็ได้นะ Oops!

...

นอกจากนี้ M1 ยังคือ คำตอบของคำถามที่ดังต่อเนื่องมายาวนานร่วมทศวรรษ หลังการสูญเสีย สตีฟ จอบส์ ศาสดาของเหล่าสาวกแห่งผลไม้ ที่ว่าหากไม่นับ Apple Watch แล้ว เหตุไฉน Apple จึงยังจมอยู่กับ iMac, iPad, iPhone จนกระทั่งไร้ซึ่งเสียงร้อง Wow ดังๆ ให้กับสินค้าตระกูล Mac ที่เป็นรากฐานสำคัญของบริษัทมายาวนานจนแทบจะจำไม่ได้แล้ว

เพราะการรวม Devices ให้ทำงานภายใต้ชิปและ common code (ชุดคำสั่ง) เดียวกัน จะทำให้ Apple สามารถนำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ครอบคลุม ได้หลากหลายอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Desktop Laptop โทรศัพท์และนาฬิกา นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดทางให้บรรดานักพัฒนาสามารถสร้าง Application เพียง Apps เดียว แต่สามารถใช้ได้ครบทุก Devices ซึ่งนั่นเท่ากับเส้นกั้นที่เคยแบ่งแยกคอมพิวเตอร์ออกจากอุปกรณ์อื่นๆ สิ้นสุดลงเสียที

โดยความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ว่าไปนี้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Apple ปล่อยระบบปฏิบัติการตัวใหม่ ที่มีชื่อว่า MacOS 11 Big Sur ซึ่งจะเปลี่ยน Pc ตระกูล Mac ให้มีทั้ง icons เพลง และรูปลักษณ์ต่างๆ แทบไม่ต่างจาก iOS (ระบบปฏิบัติการของ iPhone)

แต่อย่างไรก็ดี Apple ยอมรับว่า การเปลี่ยนถ่ายครั้งสำคัญนี้ อาจจะเกิดความขลุกขลักอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากบรรดานักพัฒนา Apps ทั้งหลายต้องเรียนรู้วิธีการทำงานรูปแบบใหม่ แต่อย่างไรก็ดี Apple ให้คำมั่นว่า Software สำคัญๆ เช่น Web Browsers โปรแกรมตัดต่อ ภาพถ่าย และวิดีโอจากทุกบริษัท จะยังคงทำงานได้อย่างปกติในวันแรกของการเปลี่ยนถ่ายที่ว่านั้น อ่อ...รวมถึงสารพัด Software ยอดนิยม จากค่าย Microsoft ด้วย

ประโยชน์ทางการตลาดที่คาดว่า Apple จะได้รับหลังการเปิดตัว M1?

การยุติความสัมพันธ์กับ intel แล้วเปลี่ยนมาใช้ชิปที่พัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง จะทำให้ Apple ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นในแง่การปรับแต่ง Software ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง รวมถึงยังสามารถบริหารจัดการผลิตเพื่อควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

"ในเมื่อสามารถกำหนดชะตาชีวิตรวมถึงควบคุมองค์ประกอบต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง คุณก็สามารถประหยัดเงินได้!" บ๊อบ โอดอนเนล (Bob O’Donnell) นักวิเคราะห์จากสำนักวิจัย Technalysis ฟันธง

โดยปกติแล้ว ราคาชิปจะคิดเป็น 20% ของราคาต้นทุนของ Laptop หนึ่งเครื่อง ฉะนั้น หาก Apple สามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ลงไปได้ ย่อมสามารถดึงดูดใจบรรดาลูกค้าหน้าใหม่ ที่ก่อนหน้านี้เคยหมางเมิน MacBook ไปเพราะติดอุปสรรคเรื่อง "ราคา" ได้อย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน Apple น่าจะฉวยโอกาสนี้ เพิ่มจำนวนสาวกให้เข้าสู่อารยธรรมของตัวเองได้มากขึ้นด้วยโปรโมชั่นข้อเสนอสุดเร้าใจของ Apple card (บัตรเครดิตของ Apple) ที่จะเปิดโอกาสให้ผ่อนชำระแบบยาวๆ 2 ปี โดยไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งนั่นจะทำเท่ากับคุณจะสามารถผ่อนซื้อคอมพิวเตอร์ของ Apple ในราคาเพียง 42 เหรียญต่อเดือน เท่านั้น!

"การนำผลิตภัณฑ์ตระกูล Mac ให้สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากน่าจะถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญมากๆ ของ Apple ในครั้งนี้" บ๊อบ โอดอนเนล สรุปแผนของ Apple

แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่า...การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ Apple ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมนี้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ "แรงกระตุ้น" ที่จะทำให้เหล่าคู่แข่งของ Apple ต้องหาทางปรับผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อ "ไล่ล่า" คู่แข่งสำคัญที่ยังคงความเป็น "ผู้นำ" ในหลากหลายแง่มุมทางการตลาดในอุตสาหกรรมไฮเทคนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

"นี่คือ การประกาศครั้งใหญ่ที่สุดในวงการคอมพิวเตอร์ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ตามแนวทางที่วางแผนไว้" สตีเวน ไซนอฟสกี (Steven Sinofsky) อดีตประธานธุรกิจ Window Software ของ Microsoft ทวีตแสดงความเห็นทันที หลัง Apple ประกาศทิศทางที่จะนำไปสู่รอยทางใหม่ๆ

อย่างไรก็ดี...เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ในเมื่อ Apple เริ่มกางใบเรือรับลมเพื่อแล่นฉิวไปข้างหน้า ในอีกมุมหนึ่ง แพทริก มัวร์เฮด (Patrick Moorhead) นักวิเคราะห์ด้านการตลาดสายเทคโนโลยีชื่อดังของ Moor Insights & Strategy ได้ตั้งข้อสังเกตในเชิงค่อนไปทางลบ (จิกกัดความจอมกั๊กฟันกำไร) สำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้ชิป M1 ไว้เป็นข้อๆ อย่างน่าสนใจว่า...

ราคาที่ไม่เห็นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

MacBook Pro และ MacBook Air ราคาแทบไม่เห็นว่าจะลดลง ทำให้เบื้องต้นคาดว่า Apple น่าจะได้กำไรต่อเครื่องขั้นต่ำอยู่ที่ 150-200 เหรียญสหรัฐฯ แม้ในยามที่ตลาด NoteBook กำลังอยู่ในช่วงโรยราก็ตาม แต่สำหรับแฟนๆ Mac mini คงจะยิ้มแก้มปริ เพราะราคาลดลงพอสมควรจนน่าคบหา

External Graphics ที่ยังคงของต้องห้าม

Apple ยังคงรักษากฎเหล็ก "ห้ามยุ่งกับอะไรที่อยู่ข้างในเครื่องเช่นเดิม" นั่นจึงน่าจะยังคงเป็นคำถามสำหรับสายฮาร์ดคอร์ต่อไปว่า โอกาสที่จะได้เล่นเกมระดับ AAA หรือ ใช้ Apps กราฟิกหนักหน่วง (workstation Apps) กับตระกูล MacBook Air หรือ Mini ยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม? อ่อ ลืมไป คำว่า Pro มันถึงจะเหมาะกับคนระดับมืออาชีพ หรือเกมเมอร์ระดับอาชีพ ด้วยสินะ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง มืออาชีพจึงต้องจ่ายแพงกว่าเสมอ!

ทำไมเพิ่ม Ram สูงสุดได้แค่ 16 GB?

เอาล่ะในเมื่อกำหนดเป้าให้ MacBook Pro คือ เครื่องที่เหมาะสมสำหรับมืออาชีพ แต่สำหรับยุคปัจจุบันแล้ว คนเหล่านั้นต้องการ Ram อย่างน้อยที่สุด 32 GB สำหรับงานด้านตัดต่อ Visualization และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต้องใช้กำลังเครื่องมหาศาล ด้วยเหตุนี้ การจัดสเปกมาให้เพียงเท่านี้ จึงไม่น่าจะตอบโจทย์เท่าที่ควร

ทำไมไม่ขยับไปสู่ 5G?

การปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นจนน่าตกตะลึง ไม่แปลกที่บรรดา Users จะคาดหวังว่า MacBook รุ่นใหม่ จะมาพร้อมกับการใส่ Sim 5G หรืออย่างน้อย 4G ได้ก็ยังดี แต่แล้ว...มันคือสิ่งที่หายไป (อย่างไม่น่าเชื่อ) ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าการทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้ iPad ยังคงสามารถทำตลาดได้ต่อไปนั่นเอง

ทำไมไม่ทำหน้าจอสัมผัส?

การเปิดทางให้ตระกูล Mac สามารถ Run Apps ที่ใช้งานบน iPhone และ iPad ได้ แต่กลับตัดความสามารถเรื่องจอสัมผัสไป เป็นอะไรที่...ไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย แต่เอาเถอะ ในเมื่อรุ่น MacBook Pro มีปุ่ม Touch Bar มาให้ อาจจะพอกล้อมแกล้มกับเรื่องนี้ไปได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ หรือเพราะต้องจ่ายแพงกว่า ถึงจะเรียกว่า มืออาชีพได้จริงไหม?

เอาน่า...ถือว่าจิกกันแต่พองามๆ แฟนๆ Apple คงไม่โกรธกันนะ!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ:

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง