ในสภาวะที่สหรัฐเมริกาและจีนกำลังฮึ่มใส่กัน ประหัตประหารกันด้วยสงครามทางการค้า สายตาของทั้งคู่ กำลังมองจ้องกันในฐานะศัตรูมากกว่าคู่แข่ง
อีกด้านหนึ่ง TikTok คือแอปพลิเคชันที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ พวกเขาเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวใหญ่ที่สุดในโลก เติบโตในช่วงที่ทุกประเทศมองเห็นความสำคัญของอินเทอร์เน็ต ราคาของสมาร์ทโฟนถูกลงจนคนเอื้อมถึงได้ง่ายกว่าที่เคย
ทุกอย่างถูกต้องไปเสียหมด ยกเว้นอย่างเดียว นั่นคือ เรื่องของเวลา
แม้ว่า TikTok จะใหญ่ จะร้อนแรงสักเพียงไหน แต่การที่ TikTok เป็นผลิตผลของ ByteDance บริษัทสัญชาติจีน ที่เข้าไปมีบทบาทในสังคมอเมริกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ TikTok จะไม่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงล้อมของสองผู้ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ ข้อกล่าวหาที่สหรัฐอเมริกามีต่อ TikTok ว่าพวกเขาเป็นแอปพลิเคชันที่เป็นสะพานให้กับจีนในการล้วงข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน
ที่ผ่านมา ByteDance เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า รัฐบาลจีนไม่สามารถครอบงำพวกเขาได้ และรัฐบาลจีนก็ไม่อาจสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหัน ได้ตามที่ต้องการ แต่คำยืนกรานของ ByteDance ยังคงไม่อาจโน้มน้าวใจให้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เชื่อถือได้เลย ก่อนที่ทรัมป์จะตัดสินใจ “แบน” TikTok และเปิดช่องให้บริษัทอเมริกันสบโอกาสซื้อกิจการของ TikTok และเป็นไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี ประกาศให้ความสนใจที่จะซื้อกิจการ TikTok
การซื้อ TikTok ของไมโครซอฟท์ ถูกเปิดเผยว่า จะดำเนินการซื้อธุรกิจ TikTok ในประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยมาร่วมในดีลนี้ด้วย
บนความไม่แน่นอนของ TikTok นั้น เหตุผลกลใดที่ทำให้ไมโครซอฟท์อยากได้ TikTok มากขนาดนั้น?
เสริมทัพด้านโซเชียล
...
TikTok เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย ByteDance สตาร์ทอัพยูนิคอร์นจากประเทศจีน ซึ่งอย่างที่ทราบกัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ไว้วางใจใน TikTok เพราะมีความเชื่อว่า TikTok เป็นตัวแทนของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน แล้วการที่ TikTok เป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมของอเมริกันชน ยิ่งทำให้สหรัฐอเมริกามีความกังวลว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะข้อมูลการใช้งานของชาวอเมริกันที่จะรั่วไหลไปอยู่ในมือรัฐบาลจีน
ปัจจุบันยอดการใช้งาน TikTok ทั่วโลกมีอยู่ราว 500 ล้านคนต่อวัน โดยมีผู้ใช้งานชาวสหรัฐอเมริกา ใน TikTok ราว 80 ล้านคน ซึ่งตัวเลข 80 ล้านคนนั้น เมื่อแปลงค่าออกมาเป็นข้อมูล นับได้ว่าเป็นปริมาณข้อมูลมากมายมหาศาล ซึ่งถามว่า ข้อมูลขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์ต้องการใช่หรือไม่ คำตอบคือ ใช่อย่างแน่นอน
เนื่องจากว่า ข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้งาน TikTok ไมโครซอฟท์ สามารถหยิบฉวย ผนวกรวมเข้ากับบริการต่างๆ ที่มีอยู่ในมือของไมโครซอฟท์ ยกตัวอย่างเช่น HoloLens หรือ Xbox ได้เลย
ที่น่าสนใจ หากไมโครซอฟท์ สามารถคว้า TikTok มาไว้ในอุ้งมือได้สำเร็จ เท่ากับว่าเป็นการเติมเต็มธุรกิจโซเชียลมีเดียที่ไมโครซอฟท์ยังไม่มีได้ทันที อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า ไมโครซอฟท์ จะไม่เคยมีความพยายามผลักดันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจโซเชียลมีเดีย พวกเขาพยายามแล้ว เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วจำต้องปิดฉากธุรกิจโซเชียลมีเดียไปอย่างเงียบๆ
สัตยาซื้อรุ่งทุกบริษัท
ตามรายงานของบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์ และ TikTok เริ่มเปิดฉากการเจรจาเบื้องต้นไปบ้างแล้ว โดยผู้นำทีมการเจรจาในฝั่งของไมโครซอฟท์ คือ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอไมโครซอฟท์, เอมี ฮูด ซีเอฟโอ และแบรด สมิธ หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย
การพูดคุยของไมโครซอฟท์ และ TiKTok ยังไม่มีความคืบหน้าว่า ไปถึงไหนแล้ว โดยมีข่าวลือว่า ดีลนี้มีมูลค่ามากถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่น่าสนใจ เมื่อเราย้อนกลับไปดูการซื้อกิจการของไมโครซอฟท์ในยุคสัตยา นาเดลลา พบว่า มัก “ลงเอย” ด้วยดี
...
สัตยา นาเดลลา ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของไมโครซอฟท์ในปี 2014 โดย “ดีล” ที่เขามีความเกี่ยวข้อง มีทั้ง 3 บริษัท นั่นคือ การซื้อ Mojang บริษัทแม่ของ Minecraft ในปี 2014 มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่อมา คือการทุ่มซื้อ LinkedIn ในราคา 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2016 ซึ่งเป็นการปิดดีลที่แพงที่สุดของไมโครซอฟท์ และสุดท้าย ในปี 2018 ในการคว้า GitHub มาครอบครอง ในราคา 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เรื่องราวการซื้อกิจการของ Minecraft ถูกเขียนไว้ในหนังสือ Hit Refresh ของสัตยา เขาเล่าว่า มาจากแนวคิดแบบก้าวหน้า เพื่อดึงดูดคนเข้ามาสู่ธุรกิจ Xbox, ซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา และคลาวด์ของไมโครซอฟท์ ซึ่ง Minecraft มีระบบเกมที่น่าสนใจ และมีกลุ่มผู้เล่นมหาศาลที่พร้อมทุ่มเทสร้างโลกใน Minecraft
...
“ฟิล สเปนเซอร์ หัวหน้าทีม Xbox เชื่อว่า Minecraft เป็นเกมที่น่าหลงใหล และเขาเป็นคนแรกที่เสนอว่า ไมโครซอฟท์ควรซื้อ Minecraft แต่ถูกปฏิเสธไปโดยหัวหน้าของฟิลในขณะนั้น”
สัตยา อธิบายต่อไปว่า แม้ฟิลจะถูกปฏิเสธแนวคิดในการซื้อ Minecraft แต่ฟิล ยังคงเชื่อว่า การนำ Minecraft มาสู่ไมโครซอฟท์ จะช่วยให้บริษัทเชื่อมโยงกับผู้เล่นอายุน้อย โดยระหว่างนั้นฟิลยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับ Mojang ไว้อย่างเหนียวแน่น จนกระทั่งทีมของฟิลได้รับอีเมลแจ้งว่า Mojang พร้อมที่จะขายกิจการอีกครั้ง
“ความจริงแล้ว Mojang จะติดต่อไปหาคู่แข่งคนอื่นก็ได้ แต่ Mojang มาหาเรา และฟิล ที่เพิ่งขึ้นเป็นหัวหน้าทีม Xbox ให้ผมตัดสินใจ และผมตัดสินใจซื้อกิจการ” สัตยา กล่าว
การซื้อ 3 กิจการในยุคของสัตยา นาเดลลา ได้รับการยอมรับว่า เป็นการซื้อที่ประสบความสำเร็จ เพราะ LinkedIn เป็นแพลตฟอร์มหาคนทำงานที่ได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับ GitHub และ Minecraft ซึ่งเป็นเกมที่มีผู้เล่นต่อเดือนมากกว่า 112 ล้านคน
พร้อมกันนี้ ไมโครซอฟท์ เลือกที่จะไม่ก้าวก่ายการบริหาร แล้วปล่อยให้ทีมบริหารชุดเดิมได้ทำงานในสไตล์ตัวเองต่อไป เพื่อให้เกิดความสบายใจของทุกฝ่าย ซึ่งเชื่อได้ว่า TikTok ในปีกของไมโครซอฟท์ จะยังคงเป็นไปในแนวทางเดิม
ยักษ์ใหญ่ตัวอื่นยังเงียบ
กูเกิล ยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่า ผูกขาดทางการค้า
ทางด้านแอปเปิล พี่เบิ้มแห่งคูเปอร์ติโน ปฏิเสธที่จะซื้อกิจการของ TikTok ส่วนเฟซบุ๊ก ก็เพิ่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Reels ในอินสตาแกรม ทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อ TikTok
...
ขณะเดียวกัน สแนปอิงค์ ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Snapchat ก็มีขนาดบริษัทที่เล็กกว่า TikTok เยอะ จึงแทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีศักยภาพมากพอที่จะคว้า TikTok
ดังนั้น จึงเหลือเพียงแค่ไมโครซอฟท์ ที่มีความพร้อมทั้งเงินทุน และศักยภาพที่จะซื้อ TikTok มาไว้ในกำมือ โดยขีดเส้นใต้เน้นเอาไว้ว่า ถ้าการเจรจาสำเร็จลุล่วง
TikTok จะดีหรือร้ายในมือไมโครซอฟท์?
ในอดีตไมโครซอฟท์ มักประสบความล้มเหลวในผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ โดยเฉพาะความล้มเหลวในการผลักดันโนเกีย (Nokia) ให้กลายเป็นคู่แข่งในธุรกิจสมาร์ทโฟนร่วมกับซัมซุง (Samsung) แอปเปิล หรือแม้แต่กูเกิล
อีกทั้งการก้าวเข้าสู่ธุรกิจโซเชียลมีเดียในเวลานี้ นับเป็นเรื่องยากไม่น้อย เนื่องจากตลาดนี้ เฟซบุ๊ก ครองความนิยมเอาไว้หมดแล้ว จากเบอร์หนึ่งด้านโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, วอตส์แอป เป็นต้น
เช่นเดียวกับทางด้านของกูเกิล ที่มียูทูบ เป็นผู้นำด้านวิดีโอออนไลน์ และกำลังมีแนวคิดจะทำคอนเทนต์วิดีโอขนาดสั้นในชื่อ Shorts เพื่อสู้กับ TikTok เช่นนั้นแล้ว งานหนักของไมโครซอฟท์ก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะรักษาผู้ใช้งานให้อยู่กับตัวไว้ได้นานที่สุด ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องมีผู้ใช้งานบางส่วนประกาศกร้าวว่าจะเลิกใช้ หรืออพยพหนีไปใช้แอปพลิเคชันอื่น แต่มันยังคงเร็วเกินไปที่จะพูดถึงในตอนนี้
ขณะที่ Bing เสิร์ชเอนจินของไมโครซอฟท์ ก็มีส่วนแบ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับกูเกิลเสิร์ช นั่นจึงเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่า ไมโครซอฟท์ ขาดความเชี่ยวชาญในธุรกิจโซเชียลมีเดียและธุรกิจออนไลน์
แต่เพื่อความเป็นธรรม ความล้มเหลวในการซื้อโนเกียก็ดี สไกป์ก็ดี เป็นการซื้อธุรกิจก่อนหน้าที่ไมโครซอฟท์จะมีซีอีโอชื่อสัตยา นาเดลลา ดังนั้นแล้ว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในการซื้อ Minecraft การพัฒนา Xbox ให้เป็นเครื่องเกมคอนโซลที่พอต่อกรกับ PlayStation น่าจะพอทำให้เราเชื่อได้ว่า TikTok ในมือไมโครซอฟท์จะยังคงไปได้สวย ไม่ล้มเหลว.
ผู้เขียน: Wiwat R.