ช่วงนี้ “หัวเว่ย” ดูเหมือนจะงานเข้าชุกเหลือเกิน ล่าสุดรัฐบาลอังกฤษประกาศห้ามบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือซื้ออุปกรณ์เครือข่าย 5G จากหัวเว่ยตั้งแต่ 1 ม.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป และให้ทำการถอดอุปกรณ์ที่ติดตั้งไปแล้วทั้งหมดออกจากเครือข่ายภายในปี 2027

ทั้งนี้ ให้เหตุผลว่ามีความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ แม้ว่าจะทำให้การใช้มือถือ 5G ล่าช้าออกไป 1 ปี พร้อมกับความเสียหายที่คิดเป็นมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านบาทก็ตาม

แต่เป็นที่ทราบกันว่ารัฐบาลอังกฤษตัดสินใจที่จะเดินตามรัฐบาลสหรัฐฯที่ประกาศแบนหัวเว่ยมาหลายรอบ เมื่อครั้งล่าสุดในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ออกคำสั่งไม่ให้บริษัททั่วโลกใช้อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ผลิตในสหรัฐฯทำการออกแบบหรือผลิตชิปให้ “หัวเว่ย” หรือบริษัทในเครือและจะต้องขอใบอนุญาตจากสหรัฐฯ ก่อนที่จะทำการส่งมอบอุปกรณ์ดังกล่าวให้กับหัวเว่ย โดยจะมีผลใน เดือน ก.ย.เป็นต้นไป

กับเป้าหมายการจำกัดขีดความสามารถของหัวเว่ยในการใช้เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ เพื่อการออกแบบ และผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของหัวเว่ยในต่างประเทศ

ส่งผลให้ศูนย์ความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งชาติของสหราชอาณาจักรเปิดการตรวจสอบและทบทวนการใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยจากเหตุผลด้านความเสี่ยงของเทคโนโลยีของหัวเว่ยที่ได้รับผลกระทบในอนาคต

ด้าน “หัวเว่ย” ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าวว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าผิดหวังและเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทุกคนในอังกฤษและสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้อังกฤษไปอยู่ในช่องทางดิจิทัลที่เชื่องช้า มีค่าบริการที่สูงขึ้น และเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลให้มากขึ้น

ขณะที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาอ้างทันทีว่าเป็นผู้โน้มน้าวให้อังกฤษและหลายประเทศแบนอุปกรณ์ของหัวเว่ย เนื่องจากอุปกรณ์เป็นภัยคุกคามทางด้านความมั่นคง แต่โดน “แมตต์ แฮนค็อก” รมว.สาธารณสุข ออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าวว่า “เรารู้จักโดนัลด์ ทรัมป์ กันดีไม่ใช่หรือ คำสั่งห้ามนี้มีพื้นฐานจากการวิเคราะห์ของศูนย์ความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติว่าเราจะมีโครงข่าย 5G ที่มีคุณภาพสูงสุดได้อย่างไรในอนาคต”

...

ส่วนรัฐบาลจีนระบุว่าจะใช้มาตรการ “จำเป็นทั้งหมด” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจีนหลังจากอังกฤษประกาศห้าม

ก่อนหน้าเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. ทางสิงคโปร์ได้ตัดสินใจเลือกผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายจากค่ายยุโรป โดย “สิงเทล” ได้เลือกใช้ “อีริคสัน” จากสวีเดน ร่วมกันพัฒนาเครือข่าย 5G โดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสิงคโปร์ ขณะที่อีก 2 รายคือ “M1” และ “สตาร์ฮัพ” ได้เลือกใช้ “โนเกีย”

ด้านรัฐบาลสิงคโปร์ออกตัวว่าไม่ได้มีการตัดบริษัทไหนออกจากการพิจารณา เพื่อการรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับสหรัฐฯและจีน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนไม่ได้อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีเท่านั้น ยังได้ขยายวงกว้างออกไปหลากหลายประเด็นมาก ไม่ว่าจะเป็นประเด็นฮ่องกง, ทะเลจีนใต้ เป็นต้น ส่วนจีนเองก็เตรียมหามาตรการตอบโต้สหรัฐฯระลอกใหม่เช่นกัน.

หนุ่มดิจิทัล
cybernet@thairath.co.th