ผลวิจัยชี้ละเมิดลิขสิทธิ์วิดีโอออนไลน์กระทบเศรษฐกิจกว่า 9 หมื่นล้าน เหตุการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ เสนอให้บังคับคดีโดยเอกชน แจ้งเตือนผู้ละเมิดให้เอาเนื้อหาออก ตลอดจนดำเนินคดีฟ้องร้องได้เอง
ขณะนี้ แพลตฟอร์มออนไลน์กระตุ้นให้เกิดบริการบนอินเทอร์เน็ต ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถรับชมเนื้อหาวิดีโอบนแพลตฟอร์ม และยังสามารถเผยแพร่วิดีโอของตนเองบนแพลตฟอร์มได้ หรือ VSP (Video-sharing platforms) ปัจจุบันมีบริการ VSP หลายราย เช่น LINE TV, Vimeo, Facebook, Dailymotion และ YouTube ตลอดจนเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น ทำให้บุคคลทั่วไปหันมาเป็นผู้สร้างสรรค์สื่อหรือผู้ผลิตเนื้อหาเอง ทั้งการคิดขึ้นใหม่ และรีมิกซ์ พร้อมอัพโหลดเนื้อหาของตนเองขึ้นแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างอิสระและง่ายดาย
ขณะเดียวกันผู้ผลิตสื่อดั้งเดิมก็ได้ปรับเปลี่ยนมาให้บริการ และเผยแพร่สื่อของตนผ่านทางช่องทางดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ส่งผลในเชิงบวก ทำให้เกิดเนื้อหาจำนวนมาก และมีความหลากหลายขึ้น นับเป็นโอกาสใหม่ที่ผู้สร้างสรรค์จะเผยแพร่และหารายได้จากผลงานของตน ขณะเดียวกันก็เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมหาศาลเช่นกัน เมื่อการแบ่งปัน หรือเผยแพร่วิดีโอของตนเองได้ง่าย ทำให้ผู้ใช้บริการอาจละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้ง่ายทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา อีกทั้งเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ยังมีคุณภาพทัดเทียมกับต้นฉบับ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เกิดการเสพสื่อและส่งต่อสื่อละเมิดนั้นต่อไปไม่สิ้นสุด และยังเป็นเครื่องมือ “ปั่นยอดวิว” สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับผู้กระทำผิดละเมิดโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวต่ออุตสาหกรรมคอนเทนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างมาก
...
ผศ.ดร.พัชรสุทธิ์ สุจริตตานนท์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงการละเมิดลิขสิทธิ์บน VSP ก่อให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างมาก โดยจะก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงกับอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพราะรายได้บางส่วนที่ผู้ผลิตเนื้อหาควรจะได้รับจากการรับชม ได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรืออาจจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจเลย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกับทั้งห่วงโซ่มูลค่าของการผลิตเนื้อหาทั้งในด้านผลผลิตและการจ้างงาน และสุดท้ายยังจะลดแรงจูงใจในการ ผลิตเนื้อหา ส่งผลให้คุณภาพและความหลากหลายของเนื้อหาลดลง
จากการศึกษาใน “โครงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจของการละเมิดลิขสิทธิ์ต่ออุตสาหกรรมของสื่อออนไลน์ในไทยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและกฎหมาย (COPYRIGHT & VIDEO SHARING PLATFORM หรือ VSP)” ซึ่งจัดทำขึ้นโดย ศูนย์วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบความเสียหายของการละเมิดลิขสิทธิ์บน VSP ต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2017 อยู่ระหว่าง 58,575 ถึง 92,519 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 0.35 ถึง 0.55 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยตรง ทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ และบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ สูงสุดรวมกว่า 44,782 ล้านบาท ทำให้การจ้างงานลดลงเป็นจำนวน 24,030 ถึง 37,956 ตำแหน่งเลยทีเดียว
อีกทั้ง การละเมิดลิขสิทธิ์ยังเป็นปัญหาสําคัญที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนได้ นอกจากนั้นอิทธิพลจากการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ในผลงานของตนเอง ยังส่งผลให้ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์รู้สึกหมดกำลังใจในการผลิตงานออกสู่สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ และยังส่งผลให้แพลตฟอร์มที่มีการดำเนินการซื้อขายคอนเทนต์อย่างถูกต้องได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากงานอันมีลิขสิทธิ์อาจถูกละเมิดโดยไม่ได้รับการชดเชย หรือมีการนำไปใช้เพื่อการแมชอัป โดยเจ้าของลิขสิทธิ์เองไม่ได้รับส่วนแบ่งด้วย
...
ด้าน ผศ.ดร.ปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์บน VSP โดยเฉพาะในหมู่ผู้สร้างสรรค์งาน ผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายก็ได้แสดงความกังวลในเรื่องนี้ออกมาตามสื่อสาธารณะต่างๆ ว่าได้รับความเสียหายจากการไม่บังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ที่ดีและชัดเจนพอบน VSP ในประเทศไทย ควบคู่ไปกับประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากวิดีโอที่นำเข้าสู่ระบบ ได้แก่การโพสต์หรือถ่ายทอดสดวิดีโอของบุคคลอื่นซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน รวมทั้งการไลฟ์ อาทิ การโพสต์ หรือถ่ายทอดสดวิดีโอของตนเอง ที่มีงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นเป็นองค์ประกอบสำคัญ ตลอดจนการโพสต์หรือถ่ายทอดสดวิดีโอของตนเองที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น ยังมีความล่อแหลม และยากต่อการประเมินว่าอาจมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งบางกรณีก็เห็นได้ชัด บางกรณีก็ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
...
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน หากย้อนมองกลับมาที่กฎหมายไทยในปัจจุบัน ผศ.ดร.ปิยะบุตร เผยว่า จากการการศึกษาในโครงการฯ ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้ผู้ให้บริการ VSP รายใหญ่มีการทำข้อตกลงกับผู้ถือลิขสิทธิ์บริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลกและในไทยเกี่ยวกับค่าลิขสิทธิ์ที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะได้รับด้วยการต่อสัญญาระยะยาว โดยมีตรวจจับลิขสิทธิ์อัตโนมัติอย่าง Content ID ทำให้สามารถเรียกร้องสิทธิของตนเองผ่านกระบวนการการแจ้งเตือนให้เอาเนื้อหาออก (Notice and Takedown) สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กๆ กลับไม่ได้รับความคุ้มครองแบบเดียวกัน ในขณะที่ข้อกฎหมายและการบังคับใช้ทางกฎหมายก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของแพลตฟอร์ม ไม่สามารถจัดการสกัดกั้นกับผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทันที
ผศ.ดร.ปิยะบุตร กล่าวอีกว่า แม้จะมีเทคโนโลยีรองรับแล้วก็ตาม โดยจะต้องมีขั้นตอนในการขอหมายศาล ต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาเสียก่อน จึงเกิดความยุ่งยากให้กับทั้งเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะดำเนินการเอาผิดผู้กระทำละเมิด ด้วยเหตุที่กระบวนการบังคับคดีโดยรัฐและการมุ่งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมายอาญาเป็นหลักนั้น ยังขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เห็นได้ชัดจากกรณีข่าว “เด็กทำกระทงละเมิดลิขสิทธิ์โดราเอมอนและคาแรกเตอร์อื่นๆ” ซึ่งต่อมาขยายผลเป็นเรื่องการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์ เพื่อสร้างรายรับหรือประโยชน์อันไม่ควรได้เข้ากระเป๋าตัวเอง จึงควรที่จะพิจารณาเพิ่มทางเลือกในการบังคับคดี โดยเอกชนที่ผู้ประกอบการสามารถใช้กระบวนการในลักษณะเดียวกันกับการแจ้งเตือนให้เอาเนื้อหาออก (notice & takedown) โดยเฉพาะการแจ้งเตือนไปยัง VSP หรือเจ้าของแพลตฟอร์มนั้นๆ ที่ควบคุมดูแลเนื้อหาโดยตรง เพื่อกระตุ้นให้ VSP มีความรับผิดชอบที่จะต้องเอาเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออก ภายหลังถูกแจ้งว่าละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว (editorial control) และช่วยให้เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการบังคับคดีโดยรัฐอีกต่อไป
...
นับเป็นการสร้างระบบนิเวศน์ในการผลิตคอนเทนต์และเผยแพร่ที่ปลอดภัยสมบูรณ์ และสร้างบรรทัดฐานในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระการจัดการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย ทั้งในแง่ของภาษีและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างเร็วที่สุด เพื่อยับยั้งการกระทำผิดด้านละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศ และเพิ่มแรงขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ผลงานของนักคิดและผู้ผลิตคอนเทนต์คุณภาพต่อไป.