การลงทุนใน ICO หรือการเสนอขายเหรียญครั้งแรก คล้ายคลึงกับ IPO แต่ต่างกันตรงที่ ICO เป็นการซื้อเหรียญดิจิตอลแทนหุ้น ซึ่งมีความคล่องตัวสูงกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงมากกว่าเช่นกัน การทำความเข้าใจกับ ICO อย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โลกนี้คงหนีไม่พ้นการเข้าสู่ยุคของการใช้เงินดิจิตอล หรือที่เราเรียกติดปากไปแล้วว่า Bitcoin ซึ่งเป็นชื่อของสกุลเงินดิจิตอลแรกของโลก และได้รับการยอมรับมากที่สุดในบรรดาสกุลเงินดิจิตอลหลายพันสกุล ซึ่งเงินสกุลดิจิตอลนี้ได้รับความนิยมจากประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมที่สูงและปลอดภัยดังที่ผมได้เล่าให้ฟังในตอนที่แล้ว (นักเทรดเงินดิจิตอล ตอนที่ 1)

ผมเชื่อว่าการใช้เงินดิจิตอลหรือลงทุนในเงินดิจิตอลไม่ใช่เพียงกระแสที่เกิดขึ้นแล้วหายไป แต่ยุคของเงินดิจิตอลกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง และจะขยายอย่างรวดเร็ว เพื่อนของผมไปนั่งกินพิซซ่ากับเพื่อนฝรั่งในตรอกเล็กๆ ในเมืองอัมสเตอร์ดัม เขาถึงกับแปลกใจที่เห็นร้านนี้ติดป้ายว่า “ที่นี่รับการจ่ายเงินด้วย Bitcoin” อยู่ข้างๆ กันกับป้ายแสดงยี่ห้อบัตรเครดิตที่ทางร้านรับ ซึ่งเพื่อนฝรั่งบอกว่าที่อัมสเตอร์ดัมการใช้จ่ายด้วย Bitcoin เป็นเรื่องปกติไปแล้ว และอีกไม่นานผมเชื่อว่าหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะสามารถซื้อกาแฟ โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน ด้วยเงินดิจิตอลสกุลเดียวกันทั่วโลกได้

ถึงแม้ว่าเงินดิจิตอลจะดูเหมือนว่านำมาใช้จ่ายได้ง่ายๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า อยู่ๆ ใครๆ ก็สามารถสร้างสกุลเงินออกมาและเป็นที่ยอมรับในการใช้จ่ายกันได้ง่ายๆ นะครับ การออกสกุลเงินใหม่มักจะทำผ่านการระดมทุนที่เรียกว่า Initial Coin Offering (ICO) ซึ่งแปลตรงๆ ตัวว่าการเสนอขายเหรียญครั้งแรก ซึ่งหลักการก็คล้ายๆ กับการระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์นั่นล่ะครับ แตกต่างกันตรงที่ผู้ซื้อ ICO จะได้เหรียญดิจิตอลแทนที่จะเป็นหุ้นของบริษัทจากการซื้อ IPO

...

ผู้ออก ICO จะต้องระบุรายละเอียดว่าเงินทุนที่ได้จะนำไปใช้ทำอะไรบ้าง ในเอกสารบรรยายโครงการที่เรียกว่า White Paper ซึ่งหากโครงการที่ระบุมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จ มีการสร้างระบบและเครือข่าย (Eco-System และ Network Effect) ที่จะทำให้มีผู้ใช้เงินสกุลดังกล่าวเยอะ ซึ่งส่งผลให้ผู้ออก ICO สามารถให้ผลตอบแทนกับผู้ซื้อ ICO หรือให้ผลตอบแทนกับผู้ถือสกุลเงินนั้นๆ ได้ตามที่ประกาศไว้ เช่น ให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เหรียญก็จะเป็นที่ต้องการ และได้รับการยอมรับในการใช้งาน จนส่งผลให้เหรียญมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากผู้ออก ICO ไม่สามารถทำโครงการให้ประสบผลสำเร็จหรือให้ผลตอบแทนได้ตามที่ประกาศไว้ มูลค่าของเหรียญก็จะตกลง

ข้อดีของการระดมทุนแบบ ICO คือมีสภาพคล่องสูง จะซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนกับเงินสกุลดิจิตอลอื่นๆ เมื่อใดก็ทำได้ง่าย ผู้ออก ICO สามารถระดมทุนจากทั่วโลกได้พร้อมๆ กัน และนักลงทุนก็สามารถลงทุนกับบริษัทหรือโครงการใดก็ได้ทั่วทุกมุมโลก แต่ข้อเสียก็คือราคาของเหรียญขึ้นกับ Demand-Supply ของตลาดล้วนๆ โดยไม่มีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ที่แน่นอนมาควบคุม การลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลจึงถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง นักเทรดหรือนักลงทุนต้องประเมินตนเองว่าสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้เงินที่ลงทุนในความเสี่ยงสูงทุกชนิดผมแนะนำว่าต้องเป็น “เงินเย็น” ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เป็นระยะเวลานาน หรือถ้าให้ดีคือเราจะไม่เดือดร้อนหากสูญเสียเงินจำนวนนั้นไป อย่าโลภและต้องมีวินัยในการลงทุนให้มาก

ถึงตอนนี้ผู้ที่อยากเริ่มเป็นนักเทรดหลายคนคงมีคำถามว่า แล้วเราจะมีการวัด คำนวณ หรือตีมูลค่าของสกุลเงินแต่ละสกุลได้อย่างไร ว่าน่าซื้อ ICO หรือน่าเทรด ผมจะมาแชร์ให้ฟังกันในครั้งหน้าครับ

คอลัมน์ “เศรษฐีคีย์บอร์ด”

คอลัมน์ “เศรษฐีคีย์บอร์ด” โดย ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ หรือ ดร.เรือบิน (www.thuntee.com) ที่จะมาแชร์ประสบการณ์และเทคนิคการใช้เทคโนโลยีสำหรับคนทำธุรกิจ งานอิสระ หรือคนที่กำลังหาช่องทางเพิ่มเติมจากงานประจำ เพื่อให้เกิดกำไรสูงสุดทั้งเป็น “ตัวเงิน” และ “ความสุข” หากท่านผู้อ่านสนใจเรื่องใด สามารถเสนอหรือพูดคุยทาง www.facebook.com/drthuntee กับเขาได้เลย