แรงบันดาลใจจากการที่ได้เห็นพระบรม ฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับคนพิการ ทำให้ นายคงฤทธิ์ หลาวทอง หรือ ต้นน้ำ จิตรกรและศิลปินนักปั้น หรือที่คนเรียกกันติดปากว่า “อาจารย์ต้นน้ำ” ได้จุดประกายใช้ศิลปะสร้างโอกาสให้แก่คนพิการสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้จากการวาดภาพ

ภายใต้ โครงการ “สานต่อคำพ่อ” ที่อาจารย์ต้นน้ำตั้งขึ้น เขาเป็นผู้ไปสอนคนพิการให้วาดภาพถึงบ้าน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ สอนอย่างเต็มที่โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพื่อให้คนพิการเหล่านี้มีรายได้จากการขายภาพวาดเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

“อาจารย์ต้นน้ำ” ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็น “จิตรกรใจบุญ” เล่าว่า เป็นชาวศรีสะเกษโดยกำเนิด ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเป็นบุตรชายของ “อิสระ หลาวทอง” จิตรกรวาดภาพคนดัง ที่ทำงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบในแนว REALISTIC ทำให้ได้เห็นการวาดภาพของคุณพ่อมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงซึมซับงานศิลป์เข้าสู่สายเลือดตั้งแต่เล็กจนโตและยังได้เรียนวิชาการปั้นจากเพื่อนสนิทของคุณพ่อ คือ อ.บำรุงศักดิ์ กองสุข ที่เป็นเพื่อนสนิทเรียนด้วยกันที่เพาะช่าง

...

ร่ำเรียนศิลปะการวาดภาพจากพ่อและลุง จนสามารถวาดภาพได้ทุกประเภท แต่ที่ชอบที่สุดคือการวาดภาพสีน้ำมันในแนว REALISTIC คือแนวเหมือนจริง เป็นภาพเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างยั่งยืน และมาเรียนเรื่องการวาดภาพอย่างจริงจังตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนในจังหวัดศรีสะเกษ

เริ่มวาดภาพเข้าประกวดจนได้รางวัลระดับประเทศหลายครั้ง จากนั้นมาเรียนจบครูศิลปะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จบแล้วมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ได้ประมาณ 1 ปี รู้สึกว่าไม่ใช่แนวทางที่ตัวเองอยากทำ จึงลาออกมาเป็นจิตรกรอิสระ วาดภาพ ทำงานศิลป์ ปั้นหุ่นขี้ผึ้ง อยู่ที่ศรีสะเกษ

ต่อมาได้เรียนวิชาการปั้นเพิ่มเติมกับคุณลุงที่กรุงเทพฯ ช่วงหนึ่งเปลี่ยนบรรยากาศทำงาน ไปอยู่ที่ลาว กับเพื่อนของพ่ออยู่ที่น้ำตกผาส้วม ปากเซ คือ คุณวิมล กิจบำรุง นักธุรกิจที่ดวงตาพิการ เจ้าของสัมปทานที่ทำรีสอร์ตและพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ผาส้วม ไปวาดภาพสร้างผลงาน ประมาณ 1 ปี จึงกลับมาอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี

“เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ได้คิดทำโครงการ “สานต่อคำพ่อ” ขึ้น เพราะได้แรงบันดาลใจจากการที่ได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 9 กับคนพิการ จึงโปรโมตโครงการไปทางเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นก็มีคนพิการชื่อ น้องป๊อป ที่สนใจวาดภาพ ได้ inbox เข้ามาถามถึงวิธีการวาดภาพ ผมก็สอนและให้คำแนะนำไป โดยสอนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย จากนั้นมีผู้พิการติดต่อมาเรื่อยๆ มีหลายคนที่เป็นผู้พิการติดเตียง ก็เดินทางไปสอนถึงที่บ้าน เพราะเขาไม่สามารถออกจากบ้านมาได้ โดยจะขับรถไปสอนในเวลาที่ว่างและจะมีตารางสอนลูกศิษย์แต่ละคนว่าเวลาไหน อย่างไร” อาจารย์ต้นน้ำ เล่าถึงจุดเริ่มต้น

ขณะนี้มีลูกศิษย์ที่สอนประมาณ 8 คน อยู่กันคนละจังหวัด เช่นที่ บุรีรัมย์ สระบุรี กรุงเทพฯ สมุทรปราการและที่แม่ฮ่องสอน ชื่อ น้องทอง-วรรณ ชัยวงศ์ อายุ 25 ปี น้องได้เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ตอนอายุ 11 เดือน ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำให้ตอนอายุ 2 ขวบกว่าเกิดเนื้องอกกดทับเส้นประสาทในส่วนที่ควบคุมการเดินและการทรงตัว แต่ต่อมามะเร็งรักษาหาย แต่ตัวก้อนเนื้อไม่หาย ทำให้น้องเขาพิการช่วงล่าง น้องไม่เคยเข้าโรงเรียน มีแต่แม่กับพี่สาวช่วยสอนหนังสือ แต่พอพี่สาวเรียนหนังสือชั้นมัธยมต้นไม่มีเวลาสอน แม่ต้องทำงาน เลยไปหัดอ่านหัดเขียนหนังสือจากการดูคาราโอเกะ จึงทำให้อ่านออกเขียนได้ แต่ตอนนี้น้องยังป่วยเป็นโรคไตอีก น่าสงสารมาก

“เริ่มแรกโครงการนี้ผมทำคนเดียว ไปคนเดียว ไปหาลูกศิษย์ ไปสอน ไปคุย โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผมไม่ใช่คนรวย แต่ที่ผมทำเพราะผมคิดว่าผมมีมากกว่าเขา ตอนหลังในปีที่ 3 มีเพื่อนๆ น้องๆ ที่เล็งเห็นถึงโครงการดีๆ เข้ามาช่วยเรื่องประชา-สัมพันธ์ ทำวีดิโอ ทำคลิปออกสื่อ เพื่อให้คนสนใจอยากร่วมโครง การ และเพิ่งเริ่มประชาสัมพันธ์โครงการจริงจังเมื่อต้นปี 2560 หวังไว้ว่าต่อไปถ้าได้รับการช่วยเหลือจากสังคมมากขึ้น ก็อาจจะเปิดเป็นมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือคนให้ได้มากขึ้นกว่านี้” อาจารย์ต้นน้ำ เล่าต่อ

อาจารย์ต้นน้ำเล่าต่ออีกว่า การที่ไปสอนถึงที่ ทั้งๆที่จริงแล้วสอนทางออนไลน์ได้ แต่ว่าบางอย่างต้องไปวาดของจริงให้ลูกศิษย์ดู เพราะบางทีบอกให้เขาทำแต่เขาไม่กล้าทำ เช่นให้ลงสีหนักแต่เขาจะลงเบาๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การที่เดินทางไปหาลูกศิษย์ถึงที่ เขาจะได้รับกำลังใจมากกว่า คิดดูคนที่ต้องอยู่แต่ในบ้านในห้อง ไม่มีใครคุย ไปหาเขา ไปคุยกับเขา ไปสอนเขา มันมีค่าที่สุดแล้วกับคนพิการ

“เวลาไปสอนบางทีถึงกับน้ำตาไหล มือของเขาที่ ยกแทบจะไม่ไหว เขายกมาจับมือเรา แตะมือเรา สัมผัสเรา ส่งสายตาว่าอย่าทิ้งเขา ทำให้รู้สึกปีติตื้นตันใจมากกว่า ที่ได้ทำให้เขาได้มีความหวังในชีวิต แม้การไปแต่ละครั้งเราจะเหนื่อย บางทีพอเราไปถึงที่ที่เขาอยู่ อยากนั่งพักเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง แต่พอเห็นอารมณ์ที่เขาอยากเรียนรู้และดีใจที่เจอเรา ทำให้เราดีใจ หายเหนื่อยและสอนต่อได้เลย” อาจารย์ต้นน้ำ เผยความรู้สึกตื้นตันใจ

อาจารย์ต้นน้ำภาคภูมิใจกับลูกศิษย์มาก ทุกคนวาดเก่งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์คนไหนที่ใช้ปากวาดภาพ ต้องใช้เทคนิคการสอนเพิ่มขึ้นไปอีก หลายคนก็มีวิธีวาดที่แตกต่างกันไป นอกจากสอนวิธีวาดแล้วยังช่วยคิดอุปกรณ์ในการทำงานให้สะดวกมากขึ้น สอนตามศักยภาพของลูกศิษย์ ต้องใจเย็นกว่าคนปกติถึง 600 เท่า ลูกศิษย์ทำไม่ได้ทุกอย่าง ค่อยๆ สอนไปตามลำดับตามขั้นตอน เวลาสอนต้องมีความร่าเริง เป็นเพื่อนเขาด้วย ให้คำปรึกษาทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัว ให้กำลังใจในการใช้ชีวิต เพราะเขาไม่มีใครที่จะรับฟังเขา

“ตอนแรกตั้งใจจะทำตามกำลังของตัวเอง เนื่องจากใช้เงินส่วนตัวทำ ตอนหลังมามีคนพิการเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น ทำให้คิดว่าถ้าโครงการเราเริ่มดัง เริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีเงินสนับสนุนเข้ามา เราอาจจะเปิดให้จิตอาสาคนอื่นเข้ามาร่วมด้วย เช่น นักศึกษา หรือว่าอาจารย์ท่านอื่นที่สนใจอยากช่วยเหลือคนพิการที่เก่งๆ ตามจังหวัดต่างๆ ถ้าสนใจจะให้เข้ามาช่วยดูแต่ละเคสตามต่างจังหวัด เป็นการช่วยเราอีกทาง แต่สิ่งที่ทำจำเป็นต้องทำเพื่อปูพื้นฐาน วางระบบ การทำงาน เพื่อให้เราได้รู้ถึงปัญหาจริงๆ ด้วย คนที่เข้ามาทำงานทีหลังจะได้ทำงานง่ายขึ้น” อาจารย์ต้นน้ำ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้สนใจร่วมสนับสนุนโครงการ หรือต้องการซื้อภาพวาดของผู้พิการ ติดต่อโดยตรงถึง “ต้นน้ำ-คงฤทธิ์ หลาวทอง” โทร.08-1593-6552 facebook : ต้นน้ำ คงฤทธิ์ หลาวทอง เพจ : งานอาร์ตโคตรง่าย ติดตามผลงานของน้องผู้พิการได้ที่ facebook : วินัย วรรณ/ Facebook คน ปากศิลป์ หรือ นที ปากศิลป์

กุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

ดังที่ “ต้นน้ำ-คงฤทธิ์ หลาวทอง” ได้สร้างกุศลในการช่วยเหลือผู้พิการ ที่เสมือนเป็น “ต้นน้ำของสายธารแห่งบุญ” ที่ไหลไปสร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้แก่คนเหล่านี้อย่างยั่งยืน.


ฐิตาภา ทรงเผ่า รายงาน