“แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” ขอเลื่อนนัดให้ถ้อยคำกับ สคบ. อ้างขอจัดการรับซื้อคืนเงินให้ลูกค้าเสร็จเรียบร้อยก่อน ด้าน สคบ.เตรียมออกหมายเรียกรอบสอง หากไม่มาจะส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับมาดำเนินคดี ส่วนบรรยากาศที่หน้าร้านย่านหทัยราษฎร์ มีประชาชนจำนวนมากมารอขายทองคืนเป็นวันที่ 4 ทางร้านลดยอดแจกบัตรคิวจาก 300 เหลือ 200 คิวต่อวัน แต่เปิดเพิ่มวันเสาร์อีก1วัน ด้านตำรวจ บก.ปคบ.เผยสัปดาห์หน้าเตรียมออกหมายเรียก “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา

เป็นข่าวครึกโครมต่อเนื่อง หลังมีผู้โพสต์เรื่องราวหลังซื้อทองรูปพรรณจากช่องทางออนไลน์ของ “แม่ตั๊ก-กรกนก สุวรรณบุตร” เจ้าของธุรกิจอาหารเสริมและห้างเพชรทองเคทูเอ็น ถนนหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. เป็นสร้อยพร้อมของแถมในรูปแบบต่างๆ แต่เมื่อนำไปขายที่ร้านทองอื่นปรากฏว่าไม่มีร้านไหนรับซื้อเพราะไม่มีเปอร์เซ็นต์ทอง รวมทั้งไม่มียี่ห้อ หากรับซื้อแล้วนำไปหลอมจะไม่เหลืออะไร ภายหลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป ทำให้ลูกค้าจำนวนมากที่เคยซื้อทองรูปพรรณไปจาก “แม่ตั๊ก-กรกนก” เพราะเข้าใจมาตลอดว่าถ้าเก็บไว้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สามารถนำไปขายทำกำไรได้ต่างทยอยนำทองมาขายคืนจนเกิดเป็นกระแสดราม่า ทำให้บรรดาผู้เสียหายต่างรวมตัวเข้าแจ้งความเอาผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต่างลงมาดูแลด้านการเยียวยา รวมทั้งเตรียมการบังคับใช้กฎหมาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. นาย เลิศศักดิ์ รักธรรม ผอ.ส่วนบังคับคดี ปฏิบัติหน้าที่รอง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีหนังสือเชิญแม่ตั๊ก-กรกนก สุวรรณบุตร และป๋าเบียร์-กานต์พล เรืองอร่าม เข้าให้ถ้อยคำที่ สคบ. ในเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.ย.นั้น ปรากฏว่าทั้งคู่ได้ให้ตัวแทนโทรศัพท์มาเลื่อนนัดการให้ถ้อยคำในครั้งนี้ ระบุเหตุผลต้องจัดการซื้อสินค้าและคืนเงินให้ผู้เสียหายเรียบร้อยก่อน ยังไม่มีการยื่นหนังสือเป็นเพียงการโทรศัพท์มาบอกเท่านั้น ต้องพิจารณาว่ามีเหตุผลพอและจำเป็นเร่งด่วนขนาดไหนในการขอเลื่อนครั้งนี้ ทั้งนี้ ก่อนวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. จะออกหนังสือเรียกครั้งที่ 2 ถ้าหากไม่มาจะมีการส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ยืนยันเจ้าตัวต้องเข้ามาชี้แจงด้วยตนเองไม่สามารถส่งตัวแทนมาได้ ในการชี้แจงผู้ประกอบธุรกิจต้องมาชี้แจงในประเด็นที่ยังสงสัย อาทิ การโฆษณา การไลฟ์ ใช้ข้อความตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่ตรงถือว่าเป็นเท็จ ส่วนพฤติการณ์ถ้าเข้าข่ายฉ้อโกงก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

...

“ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนแล้ว 45 คน เชื่อว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในจำนวนนี้บางรายเสียหายสูงถึงหลักแสนบาท ในช่วงปี 64-65 สคบ.มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร หากพบเข้าข่ายความผิดอื่นจะนำข้อมูลส่วนนี้ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี สำหรับผู้เสียหายที่อยู่ต่างประเทศสามารถร้องเรียนผ่านทางเว็บไซต์ OCPB Connect พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการซื้อ-ขายให้ครบถ้วน” นายเลิศศักดิ์ระบุ

ส่วนบรรยากาศที่ร้านเพชรทองเคทูเอ็น เลขที่ 717/111-112 ถนนหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ตลอดทั้งวันมีประชาชนนำทองมาขายคืนให้กับทางร้านจำนวนมาก มีประชาชนประมาณ 4-500 คน นั่งอยู่ในเต็นท์ผ้าใบด้านหน้าร้าน ทางร้านนำป้ายมาติดประกาศใจความว่า “เปิดรับคิวจำนวน 200 คิว ตั้งแต่เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป กราบขออภัยในความไม่สะดวก” ทำให้มีประชาชนที่ไม่สามารถนำทองมาขายคืนได้อีกจำนวนมาก

1 ในผู้ที่นำทองมาขายคืนนั้นเป็นพระปลัดศิริพงษ์ ธนปัญโญ เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาราม หรือวัดป่ากลาง อ.เชียงคาน จ.เลย นำเอาปี่เซียะทองคำมาขายคืน เปิดเผยว่า ที่เอามาขายคืนเป็นเพราะโยมแม่ไม่สบายใจหลังทราบข่าว ได้รับเงินคืน 99,888 บาท เต็มจำนวนที่ซื้อไปเป็นของขวัญให้โยมแม่ตั้งแต่ปี 65 พอเกิดเรื่องไม่อยากผูกเวร ผูกกรรมต่อกัน ทางร้านก็รับผิดชอบดี ขอแค่ได้เงินคืนก็พอใจแล้ว

ขณะที่ พ.ต.อ.ยิ่งยศ ฉลาดปรุ ผกก.สน.นิมิตรใหม่ เปิดเผยว่า สั่งการให้ตำรวจ สน.นิมิตรใหม่เข้ามาดูแลความเรียบร้อยและประสานงานกับทางร้าน มีเจ้าหน้าที่ของร้านเรียกคิวตามลำดับ โดยห้ามถ่ายภาพในบริเวณร้าน ที่ผ่านมาทางร้านเปิดรับคิวเข้าขายทองคำคืน 300 คิวต่อวัน ปรากฏว่ากว่าจะตรวจสอบการซื้อขายแล้วเสร็จใช้เวลาถึงช่วงค่ำ ทำให้ร้านต้องลดปริมาณคิวเหลือ 200 คิวต่อวันและจะเปิดให้บริการในวันเสาร์เพิ่มอีก 1 วัน ส่วนวันอาทิตย์หยุดตามเดิม ขอประชาสัมพันธ์ทางร้านยังคงเปิดให้บริการรับซื้อทองคำคืน ฉะนั้น ประชาชนที่อยู่ห่างไกลขอให้ทยอยเดินทางมา เพราะมีบางรายต้องเดินทางมาจากจังหวัดไกลๆแต่ไม่ทันได้คิวในการขายทองคำคืน

ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เวลา 14.00 น. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีผู้เสียหายแห่แจ้งความดำเนินคดี หลังซื้อทองคำออนไลน์จากแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ ว่าหลังผู้เสียหายรวมตัวเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.1.บก.ปคบ.แล้ว ขณะนี้ได้สั่งให้ พ.ต.อ.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข ผกก.1.บก.ปคบ. พร้อมพนักงานสอบสวนเร่งสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด เบื้องต้นจากการสอบปากคำผู้เสียหายพบความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค หากสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว พบเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนก็จะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยสัปดาห์หน้าจะออกหมายเรียกแม่ตั๊ก- ป๋าเบียร์เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา

ขณะที่ พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รอง ผกก. (สอบสวน) กก.1 บก.ปคบ. เปิดเผยว่าสำหรับคดีนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจ เพราะคดีนี้อยู่ในมือของตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ไม่มีใครสามารถแทรกแซงคดีได้ ส่วนกรณีผู้ที่เคยร่วมไลฟ์ขายของในคดีนี้นั้น ขอชี้แจงว่าคดีนี้ไม่เหมือนกับกรณีเว็บพนันหรือการขายของผิดกฎหมาย ผู้ที่ถูกจ้างมาขายอาจจะไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นการไลฟ์เชิงโฆษณาเกินจริง หากไม่มีเจตนาก็จะไม่ถูกดำเนินคดี แต่หากทราบพฤติการณ์ในการกระทำความผิดแล้วหรือหลังจากนี้ใครที่ยังช่วยไลฟ์ขายของให้อยู่ก็อาจสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีไปด้วย

ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี 2 (บก.สอท.2) วันเดียวกัน เคนโด้-นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร พาตัวแทนผู้เสียหายพร้อมหลักฐานที่ซื้อทองคำออนไลน์จากแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ เข้าแจ้งความดำเนินคดีในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มี พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.ปณิธาน ยามานนท์ รอง ผบก.สอท.2 เป็นผู้รับเรื่อง นายเกรียงไกรมาศกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น เข้าข่ายความผิดหลายข้อกฎหมาย ทั้งความผิดเกี่ยวกับผู้บริโภค ฉ้อโกงประชาชน และยังมีเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบ วันนี้จึงพาผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดตอนนี้มีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นจากทั่วทุกมุมโลกรวม 214 คนแล้ว ขณะนี้กำลังรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ คาดว่าจะมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้น

“เมื่อวันที่ 26 ก.ย. มีคนดังในสังคมติดต่อมาขอให้ผมช่วยเป็นตัวแทนไกล่เกลี่ยผู้เสียหาย ขอนัดหมายไปเจอ แต่ผมปฏิเสธ ขอให้สื่อมวลชนช่วยเป็นพยานผมยืนยันไม่มีการไกล่เกลี่ย 100 เปอร์เซ็นต์” นายเกรียงไกรมาศกล่าว

ด้าน พล.ต.ต.นิพลเปิดเผยว่า ได้รับพยานหลักฐานของผู้เสียหายที่มาแจ้งความในวันนี้แล้ว ต้องเอามาตรวจสอบก่อนว่าจะเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือไม่ ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนจะมีความผิดอะไรบ้างนั้นต้องตรวจสอบอีกครั้ง ในส่วนของ บช.สอท.รับดำเนินการเพียงเรื่องความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ส่วนคดีฉ้อโกงนั้นให้บก.ปคบ.เป็นผู้ดำเนินการ เพราะไม่สามารถที่จะฟ้องซ้ำได้

นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ปปง.ได้ทำงานร่วมกับ สคบ. บก.ปคบ. หลังจากที่มีประชาชนผู้เสียหายไปร้องทุกข์แจ้งความ ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายหากการตรวจสอบพบเข้าข่ายมูลฐานความผิดฐานฉ้อโกง เป็นหน้าที่ของ ปปง.ต้องเข้าไปตรวจทรัพย์สินทั้งหมดจากนั้นจะอายัดทรัพย์มาตรวจว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นได้มาอย่างไร จากไหน ถ้าได้มาจากการกระทำความผิด และหากไม่สามารถชี้แจงได้ ปปง.จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยึดทรัพย์ดังกล่าว ส่วนผู้เสียหายก็ต้องมายื่นคำร้องและประกาศคุ้มครองสิทธิเพื่อรับการเยียวยาต่อไป

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่