ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ประกาศปิดกิจการ และยุติบทบาททั้งหมด ตั้งแต่ 15 ส.ค. เป็นต้นไป หลังทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์มานานกว่า 23 ปี

วันที่ 11 สิงหาคม 2567 มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก พระราชวัชรสารบัณฑิต - เจ้าคุณประสาร ได้โพสต์ประกาศ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ปิดกิจการและขอยุติบทบาททั้งหมด โดยมีเนื้อหาระบุว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ปิดกิจการและขอยุติบทบาททั้งหมด

ตามที่ประธานกรรมการบริหารศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศเรื่อง แจ้งปิดทำการสำนักงานและยุติกิจการทั้งหมด รวมทั้งการสิ้นสภาพการเป็นสมาชิกของบุคลากร กรรมการ และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ตามที่ทราบแล้วนั้น ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ก่อกำเนิดเมื่อ 23 ปีก่อน (พ.ศ. 2544) เหตุผลในเวลานั้นก็เนื่องมาจากการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งในปีนั้น รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เวลานั้นนักคิด นักปราชญ์ พระนักวิชาการ พระนิสิต พระนักศึกษา พระภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อย นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม ตลอดจนชาวพุทธส่วนหนึ่งได้ก่อตัวขึ้น เพื่อเคลื่อนไหวให้ ส.ส.ร. บรรจุหลักสำคัญที่เป็นความประสงค์ของชาวพุทธ (แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม) โดยขอให้บรรจุคำว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ผู้แทนชาวพุทธได้นำรายชื่อผู้เห็นด้วยกว่าสองแสนรายชื่อเข้าไปยื่นที่รัฐสภาถนนอู่ทองใน ประธานยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ได้พูดกับผู้แทนชาวพุทธ ทั้งที่เป็นพระสงฆ์ สามเณร และฆราวาสที่เข้าไปยื่นเรื่องว่า รายชื่อเยอะมาก ดูไม่ไหวหรอก ทำให้ในเวลาต่อมา ความพยายามของชาวพุทธส่วนหนึ่งก็ดูว่าไร้ผล ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับ "เสียงชาวพุทธ" จำนวนมากมายมหาศาลนั้น

...

ต่อมาคณะพุทธบริษัทดังกล่าวนี้ ก็ยังไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ กอปรกับพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ได้รับผลกระทบ ถูกกระทำต่างๆ นานา ในต่างกรรม ต่างวาระ หรืออาจจะพูดได้ว่า ในหลายเรื่อง หลายโอกาส ได้ถูกกระทำ ยํ่ายี อย่างไม่เคารพยำเกรง จนมีการนำวลีประวัติศาสตร์ของชาวพุทธมาย้อนในเชิงห้ามปรามและตัดพ้อว่า "ไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ"

จากนั้นมา (พ.ศ. 2540) คณะบุคคลดังกล่าว ก็ได้ก่อตัวขึ้นในนาม ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่วัดราชาธิวาสวิหาร (คณะใต้) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และภายหลังกำเนิดศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย การทำงาน การทุ่มเทเสียสละ และการต่อสู้ภายใต้สโลแกน "พิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" ก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีพระเถระ พระสงฆ์ คฤหัสถ์ ที่เป็นดาวเด่นดาวดัง เกิดขึ้นประดับวงการพุทธมากมาย

การเดินหน้าให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีระบบแบบแผนยิ่งขึ้นในทุกรัฐธรรมนูญ การออกมาชี้แจง ตอบโต้ ชี้ผิด ชี้ถูก การทำความเข้าใจกับสังคมมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการออกมารวมตัวกันของพระสงฆ์จำนวนมากในหลายที่ หลายแห่ง หลายกรณี ตามที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ม็อบพระ" ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ในยุคสมัยที่ศูนย์พิทักษ์ฯ แห่งนี้เฟื่องฟู แน่นอนการดำเนินการทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้นย่อมมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีคนรัก มีคนเกลียด มีคนชม มีคนสาปแช่งชิงชัง

ถึงอย่างไรก็ตาม สมาชิกศูนย์ฯ ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในอุดมการณ์ ในฐานะพุทธบริษัทในอันที่จะมีหน้าที่พิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างไม่คลอนแคลน ทุกท่านยอมเสียสละ แม้จะต้องเผชิญกับอะไรในหลายๆ อย่างก็ตาม ในวันที่ถูกด่า ถูกประจาน ทุกคนไม่ท้อ ไม่ถอย แต่ยังกล้าสบตากับทุกคน ในวันที่ไม่อยากมีใครเข้าใกล้ ในวันที่คนอื่นกลัวจะโดนไปด้วย แต่เราชาวศูนย์ฯ ต่างก็อดทน อดกลั้น บำเพ็ญขันติบารมีและรู้จักกลืนเลือดให้เป็น โดยไม่เคยปริปากบ่น ไม่ไปวิ่ง ไม่ไปขอความเห็นใจ

กาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง วันนี้สมาชิกศูนย์ฯ ในวัยที่แตกต่างกัน ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ได้มานั่งคุย เพื่อถอดบทเรียน ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกันท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยน ประธานเสนอให้เลขาธิการขึ้นไปนั่งเป็นประธานกรรมการบริการศูนย์ฯ ในฐานะเลขาธิการก็ได้แต่ผ่อนไปผ่อนมา และในที่สุดก็มีผลสรุปร่วมกันว่า

1. ศูนย์ฯ ได้ทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์มานานกว่า 23 ปีแล้ว

2. ผลงานที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในภารกิจที่ร่วมกันทำมาอย่างยาวนาน และบัดนี้ก็มีหลายหน่วยงานได้รับไม้ต่อยอดไปในเรื่องนั้นๆ แล้วพอสมควร แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

3. สมาชิกหลายท่าน หลายคนก็อายุมากขึ้น หลายท่านอยู่ในวัยผู้สูงอายุและบางท่านก็ล้มหายตายจากกันไป

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราชาวศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงขอแจ้งทุกท่านว่า ถึงเวลาแล้วที่จะขอปิดม่านประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ ปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนาในนามศูนย์ฯ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

ในส่วนสมาชิกหลายท่าน หลายคนจะไปรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งองค์กรใดองค์กรหนึ่งขึ้นมาตามอุดมการณ์และแนวทางของตนเพื่อพระพุทธศาสนานั้น ก็ขอให้เป็นเรื่องคำตอบที่จะมีในอนาคตก็แล้วกัน.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก พระราชวัชรสารบัณฑิต - เจ้าคุณประสาร