"มะเร็งช่องปาก" เป็นโรคที่ติดอันดับ 1 ใน 10 พบได้บ่อยในประเทศไทย มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือ ตำแหน่งด้านใต้ขอบข้างของลิ้น
วันที่ 6 ส.ค. 2567 นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ลักษณะอาการแสดงที่สำคัญของมะเร็งช่องปาก มีได้หลายลักษณะ ดังนี้ แผลในช่องปากที่มีรอยโรคสีแดง (Erythroplakia) สีขาว (Leukoplakia) หรือสีขาวแดง (Erythroleukoplakia) ขอบของรอยโรคมีลักษณะแข็ง แผลเป็นก้อน หรือรอยโรคคล้ายแผลร้อนใน แต่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นก้อนบวมโต อาจจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีก้อนติดอยู่ที่คอ กลืน หรือเคี้ยวอาหารลำบาก อาจมีอาการชา เจ็บปวด หรือเลือดไหลได้โดยไม่ทราบสาเหตุ กรณีที่ลุกลามไปที่กระดูกและกล้ามเนื้อ รอยโรคจะยึดติดกับอวัยวะข้างใต้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโต
ทันตแพทย์หญิง ดร.สุมนา โพธิ์ศรีทอง ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจคัดกรองผู้ป่วย อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับลักษณะของผู้ป่วย โดยสามารถแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุน้อยกว่า 40 ปี และไม่มีพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปาก ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 1 ปี
- กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุ 40 ปีขึ้นไป และหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV (Human papilloma virus) ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 6 เดือน
- กลุ่มที่ 3 ผู้ป่วยที่มีรอยโรคสีแดง และหรือสีขาว มีแผลเรื้อรังที่คงอยู่หลังกำจัดสาเหตุการเกิดแผลแล้วเป็นเวลามากกว่า 2 อาทิตย์ ควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจ หากผลตรวจชิ้นเนื้อแสดงผลว่าไม่มีความผิดปกติ ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 3 เดือน
...
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงวิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ป่วยสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากได้ โดยมีแนวทางการป้องกันคือการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การไม่สูบบุหรี่, เคี้ยวยาสูบ, กินหมาก และดื่มแอลกอฮอล์ การทำความสะอาดช่องปากให้มีสุขอนามัยที่ดี หากมีการสวมใส่ฟันปลอม ควรเป็นฟันปลอมที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรังในช่องปาก หมั่นตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน หากมีความผิดปกติใดๆ สามารถพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจได้ที่สถาบันทันตกรรม โรงพยาบาล หรือคลินิกทันตกรรมใกล้บ้าน.
ขอบคุณเฟซบุ๊ก กรมการแพทย์