เตือนจับตา โอมิครอน KP.3 สายพันธุ์ใหม่ที่คาดว่าจะมาแทนที่ JN.1 ในอนาคตอันใกล้ พบทั่วโลก 295 ราย พบในไทย 2 ราย

วันที่ 27 เมษายน 2567 แฟนเพจ Center for Medical Genomics ของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความว่า ระวัง! "โอมิครอน KP.3: สายพันธุ์ใหม่ที่พร้อมจะแทนที่ JN.1 ในอนาคตอันใกล้" 

ล่าสุดจากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ SARS-CoV-2 จากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและแชร์ขึ้นไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส (GISAID) พบโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ KP.3 ทั่วโลกจำนวน 295 ราย พบในไทย 2 ราย จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วิเคราะห์จากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของโอมิครอน KP3 พบมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าโอมิครอน JN.1 ที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลกถึง 126% หรือ 2.26 เท่า

การที่โอมิครอน KP.3 มีความสามารถในการแพร่ระบาดได้ดีกว่า JN.1 ถึงเกือบ 2.3 เท่านี้ อาจเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์เพิ่มเติมที่สำคัญบริเวณส่วนหนามของไวรัส (ที่ใช้จับกับผิวเซลล์) ณ ตำแหน่ง Q493E ที่ทำให้ไวรัสหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น จึงแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นในประชากรที่เคยติดเชื้อหรือได้รับวัคซีนมาแล้ว

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าโอมิครอน KP.3 อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดแทนที่ JN.1 ได้ในอนาคตอันใกล้ จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการรับมือที่เหมาะสม

การวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ยังคงสร้างความท้าทายในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยใหม่ของโอมิครอนที่เรียกว่า KP.3 ได้ถูกพบเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งวิวัฒนาการมาจากสายพันธุ์ JN.1 และกำลังก่อให้เกิดความกังวลในหมู่นักวิจัยเนื่องจากการกลายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนและความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น

...

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของโอมิครอนสายพันธุ์ XBB, JN.1 และ KP.3:

- ตำแหน่งการกลายพันธุ์ที่สำคัญบนส่วนหนาม

  - XBB: F486P, N460K

  - JN.1: F456L, A475V/S

  - KP.3: F456L, Q493E

- ผลต่อการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์

  - XBB: ลดลงเล็กน้อย

  - JN.1: ไม่เปลี่ยนแปลงมาก

  - KP.3: ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่การกลายพันธุ์ Q493E ไม่เคยพบมาก่อน

- ความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน

  - XBB: สูงกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนหน้า

  - JN.1: สูงกว่า XBB

  - KP.3: สูงกว่า JN.1 ถึง 1.9-2.4 เท่า

โอมิครอน KP.3 มีลักษณะเด่นคือการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่งบนโปรตีนส่วนหนามที่ใช้จับกับผิวเซลล์มนุษย์ (receptor-binding domain: RBD) ได้แก่ F456L และ Q493E การกลายพันธุ์ F456L พบได้ในโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย JN.1 อื่นๆ ด้วย และไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ แต่อาจมีบทบาทในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันเมื่อรวมกับการกลายพันธุ์อื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การกลายพันธุ์ Q493E เป็นสิ่งที่ทำให้โอมิครอน KP.3 แตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ของ SARS-CoV-2 การกลายพันธุ์นี้ไม่เคยถูกพบมาก่อน และผลกระทบต่อการจับกับตัวรับบนผิวเซลล์และความรุนแรงของโรคยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยปกติแล้ว การกลายพันธุ์ในตำแหน่งนี้ เช่น Q493R ที่พบในสายพันธุ์อัลฟา จะเพิ่มความจำเพาะในการเข้าจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์

การศึกษาพบว่า โอมิครอน KP.3 มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันสูงกว่า JN.1 และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด แอนติบอดีจากซีรัมจากผู้ติดเชื้อ JN.1 หรือ XBB มีระดับแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งอนุภาคไวรัสโอมิครอน KP.3 ในหลอดทดลองที่ต่ำกว่า 1.9 ถึง 2.4 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นที่ระบาดก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าการกลายพันธุ์บริเวณหนาม ณ ตำแหน่ง Q493E อาจเป็นสาเหตุของการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นนี้

ความสามารถในการหลีกเลี่ยงการจดจำของระบบภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นนี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าโอมิครอน KP.3 อาจแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในประชากรที่มีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนสายพันธุ์ที่ระบาดก่อนหน้านี้ ดังนั้น การติดตามและศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอมิครอน KP.3 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของการกลายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนนี้ต่อการแพร่กระจาย ความรุนแรงของโรค และประสิทธิภาพของวัคซีนและการรักษาด้วยยาและแอนติบอดีสำเร็จรูปที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อโควิด-19 ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง การติดตามสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ การศึกษาสายพันธุ์อย่างโอมิครอน KP.3 จะช่วยให้นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ SARS-CoV-2 และปรับมาตรการเพื่อลดผลกระทบของการระบาดที่ยังคงดำเนินอยู่

ในขณะที่ผลกระทบทั้งหมดของโอมิครอน KP.3 ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษา การปรากฏตัวของสายพันธุ์นี้เป็นการย้ำเตือนว่าการต่อสู้กับโควิด-19 ยังอีกยาวไกล การเฝ้าระวัง การวิจัย และความสามารถในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2

ข้อมูลล่าสุดนี้มาจากทีมผู้วิจัยประกอบด้วยนักวิจัยจากสถาบันชั้นนำของจีน ทั้งจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งมหานครปักกิ่ง มหาวิทยาลัยนานไค สถาบันชีววิทยาการแพทย์ สถาบันการแพทย์ Peking Union และโรงพยาบาล Tianjin First Central ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของสหสถาบันในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

Humoral immunogenicity comparison of XBB and JN.1 in human infections