สพฐ. เน้นย้ำโรงเรียนให้เห็นความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพของนักเรียน หลังพบมีโรงเรียนออกกฎยัดโทรศัพท์-อุปกรณ์แต่งหน้า
วันที่ 3 เมษายน 2567 มีรายงานว่า ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ กรณีโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพร ได้ออกระเบียบว่าด้วยเรื่องการแต่งกายของนักเรียน เผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊กของโรงเรียน
โดยมีบางข้อกำหนดว่า กรณีที่นักเรียนนำโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์แต่งหน้า ทำผม ทุกชนิดมาโรงเรียน หากตรวจพบทางโรงเรียนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้น และไม่คืนให้ทุกกรณี จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์ นั้น
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และได้สั่งการ ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร ซึ่งเป็นต้นสังกัดของโรงเรียนดังกล่าว เร่งติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันที
โดยในเบื้องต้นได้รับรายงานว่าระเบียบดังกล่าว เป็นระเบียบที่ทางโรงเรียนได้กำหนดขึ้นมาจริง แต่มีเจตจำนง เพื่อต้องการป้องปรามนักเรียนเท่านั้น ในทางปฏิบัติมิได้จัดเก็บของดังกล่าวไว้โดยไม่คืนให้กับนักเรียนแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อเผยแพร่ออกไป ได้สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อสังคม ในวันนี้ทางโรงเรียน จึงได้ออกประกาศยกเลิกระเบียบการแต่งกายฉบับดังกล่าวเรียบร้อยแล้วทุกข้อ และจะมีการประกาศระเบียบฉบับใหม่ต่อไป
โดยทาง สพม.สุราษฎร์ธานี ชุมพร ได้เน้นย้ำให้โรงเรียนดำเนินการแก้ไขระเบียบให้เป็นไปตามหลักสิทธิและเสรีภาพของนักเรียนอย่างเคร่งครัด รวมถึงดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการคุ้มครองดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยยึดสวัสดิภาพของนักเรียนเป็นสำคัญ
...
พร้อมทั้งพูดคุยทำความเข้าใจกับนักเรียน และผู้ปกครองถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ มีมาตรการ หรือทางออกอีกหลากหลายรูปแบบที่สามารถทำได้ เช่น อาจขอความร่วมมือหรือทำ MOU ระหว่างครูกับผู้ปกครอง และนักเรียน ว่าในช่วงเวลาเรียนต้องงดใช้โทรศัพท์ ดีกว่าไปบังคับหรือห้ามใช้แล้วยึดไป ซึ่งถือว่าผิดหลักการ
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า ในกระบวนการของการออกระเบียบต่างๆ นั้น โดยหลักการแล้วต้องมีคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ผู้แทนครู และหน่วยงานต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการออกระเบียบด้วย
เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิของผู้เรียน ซึ่งระเบียบดังกล่าวที่ออกมา ทางผู้อำนวยการโรงเรียน อาจจะหวังดีให้เด็กตั้งใจเรียน และอยากให้ครูได้สอนเด็กอย่างเต็มที่ แต่ว่าพอไปดูแล้วมันกระทบสิทธิ หรือละเมิดสิทธิของนักเรียน ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ ทาง สพฐ. ได้พยายามกระจายอำนาจให้โรงเรียน มีอำนาจในการบริหารมากขึ้น เพราะในเชิงปฏิบัติแล้ว การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จะอยู่ที่โรงเรียนเป็นหลัก โดยเน้นย้ำในเรื่องการบริหารงานวิชาการ การบริหารงบประมาณ หรือการบริหารทุกอย่าง ให้โรงเรียนมีบทบาทมากขึ้น โดยมี สพฐ. คอยให้นโยบายในภาพกว้าง
ส่วนทางโรงเรียน สามารถออกระเบียบของตนเองได้ แต่ต้องผ่านคณะกรรมการโรงเรียน ในการให้คำแนะนำ ส่งเสริมและช่วยเหลือ ว่าออกระเบียบได้ถูกต้องไหม ขัดกับหลักการไหม ตัวอย่างเช่น การรับนักเรียน เราจะให้ส่วนกลางออกนโยบายในภาพกว้างไว้เป็นพื้นฐาน สำหรับโรงเรียนทั้งประเทศ และทางโรงเรียนกับเขตพื้น ที่จะออกนโยบายในเชิงปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ของตนเอง แต่ต้องเป็นนโยบายที่ส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน ไม่กระทบกับสิทธิของนักเรียน หรือผู้ปกครองด้วย
สำหรับปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการคิดเร็ว ทำเร็ว ไม่รอบคอบ แต่ตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดย สพฐ. จะออกแนวทางเน้นย้ำในเรื่องของการออกระเบียบที่มีการกำหนดข้อบังคับ ซึ่งต้องไม่กระทบสิทธิของนักเรียนและผู้ปกครอง
และที่สำคัญต้องส่งเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของผู้เรียน ตามที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. มีข้อห่วงใยถึงสวัสดิภาพของนักเรียนในสถานศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุขในสถานศึกษาที่มีความปลอดภัย ตามนโยบาย "เรียนดี มีความสุข" อย่างครบถ้วนทุกพื้นที่.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ประชาสัมพันธ์ สพฐ.