วิกฤติหมอกควันภาคเหนือ แพทย์ย้ำฝุ่น PM 2.5 รุนแรงหนัก พบผู้ป่วยแล้วกว่า 3 หมื่นคน พุ่งสูงกว่าปี 66 เกินเท่าตัว ขณะที่ "เด็ก 8 ขวบ" เลือดกำเดาพุ่ง อดใช้ชีวิตทำกิจกรรมนอกบ้านในช่วงปิดเทอม

วันที่ 21 มี.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น้องข้าวหอม เด็กหญิงวัย 8 ขวบ อาศัยอยู่ ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีอาการผิดปกติคือปวดหัว, หายใจลำบากเหมือนเป็นหวัดแต่ไม่มีน้ำมูก และมีไข้ช่วงกลางคืนกับตอนเช้า แต่ตอนกลางวันไข้ลด มีอาการอ่อนเพลียและเริ่มมีอาการปวดหูเพิ่ม ซึ่งเป็นอย่างนี้วนไปมาจนเกือบครบ 1 อาทิตย์ จากนั้นผู้ปกครองจึงพาไปหาหมอที่คลินิกแพทย์เด็กในตัวเมืองเชียงใหม่ ตรวจวินิจฉัยพบว่าโพรงจมูกอักเสบ และส่งผลต่อไปยังหู เริ่มมีอาการอักเสบ แพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อกลับมาดูอาการ 1 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปโรงพยาบาล 

แต่เมื่อผ่านไป 1 คืน รุ่งเช้าน้องข้าวหอมก็ตื่นมาพร้อมกับเลือดกำเดาไหล ผู้ปกครองก็ปฐมพยาบาลจนหาย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากอาการป่วยตามที่แพทย์ระบุ ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากสาเหตุวิกฤติหมอกควันในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แม้จะเป็นช่วงปิดเทอมและต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เปิดเครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศ แม้จะต้องเสียเวลาช่วงปิดเทอมที่ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมสนุกสนาน ยังล้มป่วยลงได้อีก

...

ทางด้านคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่อง วิกฤติหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือต่อสุขภาพประชาชน โดยลงชื่อ ศาสตราจารย์ (เชี่ยวชาญพิเศษ) นายแพทย์บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า จากสถานการณ์วิกฤติหมอกควันมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM 10) และฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นกับจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือมาอย่างยาวนาน ขณะนี้เกินค่ามาตรฐานอย่างหนักในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง จังหวัดลำพูน จังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน 

ในปัจจุบันมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (สถิติวันที่ 1 ม.ค.-15 มี.ค. 2567) ด้วยผลกระทบจาก PM 2.5 แล้วทั้งสิ้น จำนวน 30,339 ราย มากกว่าจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในช่วงเดียวกันของปีก่อน 1 เท่าตัว (สถิติวันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 2566 จำนวนผู้ป่วย 12,671 คน) 

ส่วนใหญ่พบมีอาการของโรคภูมิแพ้กำเริบ เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อบุตาอักเสบ โรคหืด เลือดกำเดาไหล โรคถุงลมโป่งพอง ตามลำดับ ฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกิดอาการไอ จาม แสบจมูก หายใจลำบาก เคืองตา คันผิวหนัง และในระยะยาว จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ สมรรถภาพปอดลดลง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง รวมทั้งมีผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำ ทารกตายในครรภ์ พัฒนาการหลังคลอดไม่สมบูรณ์ 

นอกจากนี้ ฝุ่น PM 2.5 ยังเป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันของระบบการหายใจและระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย มีผลต่อโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน และโรคถุงลมโป่งพอง โดยอาจทำให้มีอาการเพิ่มขึ้น หรือเกิดการกำเริบเฉียบพลัน ขอให้ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอยู่เดิม สังเกตอาการ หากมีอาการเพิ่มขึ้น หรือมีการควบคุมโรคแย่ลง มีอาการกำเริบรุนแรง ขอให้รีบพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินทันที 

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกท่านเฝ้าระวังดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยเริ่มจากตัวท่านเอง ไม่เผาทั้งในบ้านและในที่โล่งแจ้ง ติดตามระดับฝุ่น PM 2.5 หากระดับฝุ่นมีค่าเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ให้ใส่อุปกรณ์หรือหน้ากากป้องกัน PM 2.5 ชนิด N95 โดยให้อยู่นอกอาคารให้สั้นที่สุด ให้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน หรือสถานที่ที่ปิดหน้าต่างและประตูอย่างมิดชิด ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการช่วยกรองฝุ่น.