สมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก เผยปัญหาเด็กติดจอ มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ และพัฒนาการด้านอื่นๆ แนะผู้ปครองควรปรับพฤติกรรมการเลี้ยงดู เน้นกิจกรรมดึงเด็กให้ห่างจอ
ปัญหาเด็กติดหน้าจอ แม้จะไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็น 1 ใน 5 ปัญหาที่คุณแม่เด็กในวัย 1-3 ขวบพบเจอและมีความกังวลใจมากที่สุด จากผลการวิจัยล่าสุดของทางสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ที่ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคุณแม่ทั่วประเทศ
ดร.พิเชฐ อิฐกอ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก (PNMA) แนะนำว่าปัญหาเด็กติดจอนั้น เป็นปัญหาที่เกิดจากการเลี้ยงดูเด็กที่ไม่เหมาะสมกับช่วงวัย ซึ่งอาจทำให้เด็กมีปัญหาด้านพัฒนาการด้านร่างกาย เด็กบางรายอาจเลือกไม่กินอาหารเลย หรือ กลายเป็นเด็กติดเก้าอี้ ซึ่งจะทำให้เด็กเสียโอกาสเสริมสร้างพัฒนาการอย่างมาก ผู้ปกครองควรให้ความใส่ใจ
เด็กติดจอ จุดเริ่มต้นสู่ภาวะ นอนหลับยาก ภาวะน้ำหนักเกิน ปัญหาสุขภาพจิต
จากผลการวิจัยของทางสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก ที่สำรวจคุณแม่ที่มีลูก อายุ 1-3 ขวบ พบว่าปัญหาที่คุณแม่มีความกังวลใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกนอกจากเรื่องโภชนาการแล้ว ปัญหาอื่นๆ ที่คุณแม่มีความกังวลใจ 5 อันดับแรกได้แก่ ปัญหาเด็กป่วยบ่อย ร้อยละ 20 ปัญหาเด็กติดจอร้อยละ 24 ปัญหาการควบคุมอารมณ์ร้อยละ 25 ปัญหาเด็กนอนยากร้อยละ 37 และ ปัญหาเด็กงอแง ร้องไห้มากร้อยละ 44 ซึ่งปัญหาที่คุณแม่มีความกังวลใจเหล่านี้ อาจมีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาเด็กติดจอ โดยเฉพาะปัญหาการควบคุมอารมณ์ เด็กป่วยบ่อย และปัญหาเด็กนอนยาก ที่พบปัญหาในอัตราใกล้เคียงกัน
...
ผลการสำรวจนี้สอดคล้องกับงานวิจัยในปี ค.ศ. 2022 เรื่อง "ผลของเวลาหน้าจอที่มีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และพฤติกรรมการกินในช่วงล็อกดาวน์ จากสถานการณ์โควิด-19 ในเลบานอน" งานวิจัยชิ้นนี้เป็นความร่วมมือของนักวิจัยของประเทศเลบานอน สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และ ประเทศไซปรัส
ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้สำรวจเด็กชาวเลบานอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ในเรื่องสุขภาพจิต คุณภาพการนอนหลับ ค่าดัชนีมวลกาย และพฤติกรรมการกิน พบว่า จากผลกระทบของการใช้เวลาอยู่หน้าจอระหว่างช่วงเวลาล็อกดาวน์ ของเด็กชาวเลบานอนอายุ 3-7 ปี
ในการศึกษานี้พบว่าเด็กใช้เวลาอยู่เวลาหน้าจอมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีภาวะโรคอ้วน มีปัญหาการนอนหลับ อาการซึมเศร้า และอุปนิสัยการกินอาหารที่ไม่ดี เช่น การรับประทานอาหารขณะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมักจะเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สูงกว่าเด็กที่อยู่หน้าจอน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยให้แนะนำว่า ตามแนวปฏิบัติล่าสุดที่ได้รับการปรับปรุงโดย American Academy of Child and Adolescent Psychiatry ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 แนะนำว่า เด็กอายุระหว่าง 2-5 ปี สามารถเริ่มมีเวลาดูหน้าจอที่ไม่ใช่เพื่อการศึกษาเพื่อความบันเทิงนอกเหนือจากการเรียนได้ แต่ควรจำกัดไว้เพียง 1 ชั่วโมงต่อวันธรรมดา และ 3 ชั่วโมงในวันหยุดสุดสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรระวังไม่ให้พฤติกรรมการใช้งานหน้าจอเหล่านี้ รบกวนความสัมพันธ์ทางสังคมและความรับผิดชอบของพวกเขา
ปัญหาเด็กติดจอ แก้ได้ด้วยการปรับแนวทางการเลี้ยงลูก
ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ปัญหาเด็กติดจอ เป็นปัญหาที่เกิดจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองเป็นหลัก ในแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ ผู้ปกครองควรศึกษาใส่ใจด้านโภชนาการที่ดีสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย ควรหากิจกรรม ให้เด็กได้เล่น เช่น วาดภาพ เล่นกีฬา หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมตามช่วงวัยของเขา
โดยเฉพาะเด็กในช่วงวัย 1-2 ขวบ ที่ยังอยู่ในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ซึ่งหมายถึงเด็กตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงอายุ 2 ปี เป็นช่วงที่โครงสร้างสมองมีการพัฒนาสูงสุด การเจริญเติบโตด้านร่างกายในช่วงเวลานี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าช่วงวัยอื่น จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่าโภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของชีวิตมีความสำคัญมากถึงร้อยละ 80 ต่อการกำหนดภาวะสุขภาพของเด็กคนนั้นไปตลอดชีวิต
ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญในเรื่องโภชนาการ เพราะเด็กในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านร่างกายที่ดีต้องได้รับโภชนาการที่ดี และเด็กไม่สามารถหาอาหารกินเองได้ ต้องได้รับการจัดอาหารที่มีประโยชน์จากคุณพ่อ คุณแม่เท่านั้น กินอาหารตามคำแนะนำด้านธงโภชนาการของกรมอนามัย กินอาหารที่มีความหลากหลาย และควรให้เด็กดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้วเพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่สำคัญต่อการเสริมสร้างสมอง และพัฒนาการร่างกาย อย่างเช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี โปรตีน ไขมัน วิตามิน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ
สังเกตความชอบของเด็กว่าชอบกิน หรือไม่กินอะไรและหาอาหารอื่นที่มีสารอาหารแบบเดียวกันมาทดแทน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือรูปแบบการเลี้ยงดูไม่ให้กลายเป็นเด็กติดจอ ด้วยการหากิจกรรมที่มีประโยชน์ อย่าให้ 1,000 วันแรกของชีวิตที่มีค่าของพวกเขาต้องเสียเปล่า เพื่อให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีคุณภาพ และมีสุขภาพที่ดีไปตลอดชีวิต.