“4 มี.ค.วันกะเทยผ่านศึก” สาวสองไทยระดมพลโดยไม่ได้นัดหมายบุกซอยสุขุมวิท 11 ลุยโรงแรมที่พักสาวสองฟิลิปปินส์ หลังเกิดเหตุฝ่ายหลังรุมตบสาวสองไทยชนิด 20 ต่อ 2 จนบาดเจ็บ ตำรวจลุมพินีต้องระดมสายตรวจระงับเหตุวุ่น แฉชนวนเดือดเป็นเพราะหลังเกิดเหตุรุมทำร้ายไปโพสต์คลิปว่อนโซเชียล ยั่วยุ เยาะเย้ย ถากถาง ด่าทอ โดยใช้นิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์ จนเกิดการระดมพลกู้ศักดิ์ศรีกะเทยไทย ตม.ตรวจสอบกลุ่ม “กะเทยปินส์” เข้ามาและทำงานในไทยถูกต้องหรือไม่ เบื้องต้นพบใช้วีซ่าท่องเที่ยว ย้ำมีขั้นตอนดำเนินการอยู่แล้ว ขอมั่นใจการทำงานตำรวจ “น้องตุ้ม มวยไทยยิม” ออกโรงป้องศักดิ์ศรีกะเทยไทย ขณะที่ “ปารมี ไวจงเจริญ” ก.ก. เห็นใจกะเทยไทยแต่ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง
ศึกกะเทยไทยทวงศักดิ์ศรีเอาคืนกะเทยฟิลิปปินส์หลังถูกรุมทำร้ายก่อนจนเกิดเหตุชุลมุนขึ้นครั้งนี้เปิดเผยเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 4 มี.ค. พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.ท.ประจำ สนโตแจ้ง รอง ผกก.ป.สน.ลุมพินี รับแจ้งมีการรวมตัวกันของกลุ่ม LGBTQ+ ที่เรียกตัวเองว่า “กะเทยไทย” มากกว่า 100 คน ที่หน้าโรงแรมซิติน ซอยสุขุมวิท 11/1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. อ้างเป็นการรวมตัวเพื่อรอปะทะกับกะเทยฟิลิปปินส์ หลังเกิดเหตุกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์กว่า 20 คน รุมทำร้ายกะเทยไทย 4 คน จนบาดเจ็บเมื่อช่วงตี 5 วันที่ 4 มี.ค. ไม่เท่านั้นยังนำคลิปวิดีโอเหตุดังกล่าวไปโพสต์ลงในกลุ่มต่างๆรวมทั้งโพสต์ไปยังประเทศฟิลิปปินส์ ลักษณะใช้นิ้วแสดงสัญลักษณ์ด่าทอ ยั่วยุ เยาะเย้ย ถากถาง จนทำให้กลุ่มสาวสองหรือกะเทยไทยที่เห็นคลิปทนไม่ไหวออกมารวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจและกดดันกะเทยฟิลิปปินส์ที่พักอยู่โรงแรมดังกล่าว
...
ทั้งนี้ ตำรวจ สน.ลุมพินีได้เข้ามาระงับเหตุพร้อมเชิญตัวสาวสองชาวฟิลิปปินส์ 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าวไปสอบปากคำที่โรงพัก ระหว่างนี้เกิดเหตุชุลมุนสาวสองไทยปรี่เข้ามาต่อว่า บางรายพยายามจะเข้าไปหยุมหัวทำร้าย ตำรวจสายตรวจสน.ลุมพินีต้องเข้าห้ามปรามพัลวันก่อนที่จะนำคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องไปที่โรงพัก โดยเหตุชุลมุนดังกล่าวทำให้ร้านนวดแผนโบราณที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมีทรัพย์สินเสียหายหลายรายการ
ต่อมาเวลา 01.20 น. วันที่ 5 มี.ค. กลุ่มสาวสองคนไทยจำนวนมากมายืนรอฟังผลการสอบสวนอยู่หน้า สน.ลุมพินี จากการสอบถามนายต๋อง (นามสมมติ) หนึ่งในกลุ่มกะเทยผู้เสียหายชาวไทยเปิดเผยว่า เหตุเกิดเมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 4 มี.ค. ขณะที่กลุ่มเพื่อนสาวสองไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ริมถนนสุขุมวิทใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนานา ไปเจอกลุ่มสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ที่เคยมีเรื่องเขม่นกัน จากนั้นมีปากเสียงก่อนจะเกิดเหตุลงไม้ลงมือกันนอกร้านถึงขั้นรุมทำร้าย โดยฝ่ายสาวสองฟิลิปปินส์มีอยู่ 20 คน ขณะที่ฝ่ายสาวประเภทสองคนไทยมีเพียง 2 คน ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ ขณะนั้นมีสาวสองชาวไทยเข้าไปช่วยอีก 2 คน แต่สู้ไม่ไหวสุดท้ายทั้งหมดแยกย้ายกันไป กระทั่งภาพเหตุสาวสองชาวไทยถูกรุมทำร้ายได้ถูกเผยแพร่โดยสาวสองฟิลิปปินส์ว่อนโลกโซเชียล ทำให้สาวสองคนไทยรู้สึกถูกเหยียดหยาม ไปรวมตัวกันที่หน้าโรงแรมที่พักของสาวประเภทสองคู่กรณีไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ โดยไม่ได้นัดหมายเพื่อกู้ศักดิ์ศรีสาวสองคนไทย ก่อนที่ตำรวจเข้ามาขอความร่วมมือไม่ให้ก่อความรุนแรงขึ้นอีกเหตุการณ์จึงสงบลงขณะที่ภาพข่าวเหตุการณ์ชุลมุนที่หน้าโรงแรมซิตินของสาวสองชาวไทยเริ่มแพร่กระจายไปในโซเชียล และเรียกเหตุการณ์วันที่ 4 มี.ค.ว่า “วันกะเทยไทยผ่านศึก”
กระทั่งเวลา 09.20 น. ที่หน้า สน.ลุมพินี กลุ่มเพื่อนผู้เสียหายกะเทยคนไทยยังมาติดตามความคืบหน้าคดีกันอีกจำนวนมาก โดย 1 ในนั้นเปิดเผยว่า ตำรวจพยายามให้ทั้งสองฝ่ายมาคุยกันที่ สน.ลุมพินี มีเพียงกะเทยฟิลิปปินส์ 4 คนเท่านั้น ทั้งที่จริงมีมากกว่านั้น ส่วนกะเทยฟิลิปปินส์ที่เหลือ ทราบว่าช่วงเช้าได้ออกจากโรงแรมโดยสารรถแท็กซี่ ไปยังสนามบินแล้ว ขอตั้งคำถามว่า คู่กรณีมาก่อเหตุที่บ้านเราทำไมถึงปล่อยตัวออกนอกประเทศได้ง่าย โทรศัพท์สอบถามตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้รับคำตอบว่าตำรวจต้องออกหมายจับจึงจะควบคุมคู่กรณีได้ และต้องให้ตำรวจ สน.ลุมพินี เป็นผู้ประสานงานเท่านั้น ยอมรับเมื่อได้ยินทำให้รู้สึกหมดหวังในกฎหมายไทยและตำรวจไทย เพราะเหตุที่เกิดขึ้นถือว่ารุนแรง มีการรุมทำร้าย 20 ต่อ 2 แต่จับกุมคนร้ายได้เพียง 2 คน
ต่อมา พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 เดินทางมาดูความคืบหน้าของคดีก่อนเผยว่า คดีนี้เริ่มจากเมื่อคืนที่มีเหตุเขม่นกันระหว่างสาวประเภทสองชาวไทย 2 คน และฟิลิปปินส์ 3 คน แต่ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรมีการเจรจาตกลงกันได้ที่ สน.ลุมพินี หลังจากนั้นแยกย้ายกันไปก่อนไปเจอกันที่ร้านซีฟู๊ดแห่งหนึ่ง ปากซอยสุขุมวิทซอย 5 มีปากเสียงกันอีกครั้งก่อนจะแยกย้าย จากนั้นครั้งที่ 3 สองฝ่ายไปเจอกันที่ซอยสุขุมวิท 11 ขณะนั้นกลุ่มสาวประเภทสองฟิลิปปินส์มีมากกว่า 15 คน ส่วนสาวประเภทสองไทยมี 6 คน มีปากเสียงและเกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันขึ้น สาวสองคนไทยบาดเจ็บ 5-6 คน และมาที่ สน.ลุมพินี ขณะเดียวกันมีกลุ่มสาวสองของไทยเข้าไปที่โรงแรมเกิดเหตุ เพื่อจะเคลียร์กัน ระหว่างการรอนั้นกลุ่มสาวสองไทยโพสต์ชวนเพื่อนให้มาที่โรงแรมซอยสุขุมวิท 11 ด้วย กระทั่งเวลาประมาณตีสาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี จะไปเชิญตัวสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ 2 รายในโรงแรม ก่อนเกิดเหตุชุลมุนบานปลายมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน
ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่โรงแรมซิติน สุขุมวิท 11 จุดเกิดเหตุชุลมุนระหว่างสาวสองไทยและฟิลิปปินส์ พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1 นำกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลการเข้าประเทศของสาวสองชาวฟิลิปปินส์ว่าเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบบุคคลที่เข้าพักว่าอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือโอเวอร์สเตย์หรือไม่อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล หลังจากตรวจสอบข้อมูลแล้วเสร็จจะส่งมอบข้อมูลให้ สน.ลุมพินี พิจารณาดำเนินการ
พ.ต.อ.ระพีพัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบบุคคลผู้ก่อเหตุว่าเป็นใครบ้าง เป็นอำนาจของ สน.ลุมพินี พิสูจน์ทราบบุคคลจากกล้องวงจรปิดและภาพวิดีโอทั้งหมดจึงจะตรวจสอบการเข้าออกประเทศได้ว่าบุคคลดังกล่าวหลบหนีออกจากประเทศไทยไปแล้วหรือไม่ ยืนยันว่าตำรวจ ตม.ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้ว หากผู้ก่อเหตุออกนอกประเทศก็มีขั้นตอนการดำเนินการ เช่นการออกหมายแดง หรือหมายน้ำเงินต่อไป ทั้งนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้ามาในไทยแบบวีซ่านักท่องเที่ยว แต่บางส่วนอาจลักลอบทำงานหลังเข้ามาแล้วต้องไล่ตรวจสอบและจับกุมเป็นกรณีไป แต่ในส่วนที่สื่อมวลชนรายงานว่ามีสถานที่ที่ LGBTQ+ เข้าไปทำงาน หรือนัดพบเพื่อค้าประเวณี ยืนยันว่าไม่มีสถานที่ดังกล่าวแน่นอนตรวจสอบได้ ทั้งนี้ที่พักทุกแห่งต้องแจ้งการเข้าพักทุก 24 ชั่วโมง เพื่อให้ทราบว่า หลังจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศมาแล้วไปพักที่ใด หากผู้ประกอบการรายใดไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิด หากเป็นประกอบกิจการโรงแรม มีโทษปรับ 8,000-10,000 บาทต่อผู้เข้าพัก 1 คน แต่หากเป็นที่พักทั่วไปจะมีโทษปรับ 1,600-2,000 บาทต่อผู้เข้าพัก 1 คน
วันเดียวกัน ที่ค่ายมวยน้องตุ้มมวยไทยยิม ซอยศรีด่าน 22 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ น้องตุ้ม หรือนายปริญญา เจริญผล ตำนานนักมวยไทยนะยะ และเจ้าของค่ายมวยไทยดังกล่าวเผยว่า เมื่อคืนกำลังจะนอนพักผ่อน มีลูกสาวส่งคลิปมาให้ดู พอเห็นตนก็ขึ้น จริงแล้วไม่ได้สนับสนุนเรื่องความรุนแรง แต่ทุกคนมีขีดจำกัด มายั่วยุ มาแจกกล้วย มาถกผ้าถกผ่อนให้ดู ผลสุดท้ายมาเกิดเรื่องจนได้ ตุ้มมองว่าเขามาประเทศเรา ต้องทำตัวให้น่ารักกว่านี้ ต้องเคารพสิทธิ์ เคารพกฎหมายกติกาบ้านเรา ไม่ใช่เข้ามารุมกระทืบพี่น้องเราในประเทศเรามันไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาชิงทรัพย์ เข้าข่ายโจร และเป็นมาเฟีย นั่นคือเหตุผลที่ตุ้มได้โพสต์ออกไป สำหรับเหตุเมื่อคืนนับว่าโชคดีที่ไม่ได้อยู่ที่คอนโดที่สุขุมวิท ประกอบกับเหนื่อยจากการทำงานด้วย ไม่อย่างนั้นลงสนามแน่ อยากฝากถึงลูกสาวทุกคนว่า มวยไทยนั้นเรียนได้ทุกเพศทุกวัย แต่ไม่ได้สอนไว้ทำร้ายใคร เอาไว้ป้องกันตัวปกป้องคนที่เรารัก ไม่สนับสนุนให้ไปชกต่อยกับคนอื่นข้างถนน แต่เอาไว้ใช้ยามคับขัน
วันเดียวกัน นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่ม LGBTQ+ เผยถึงเหตุดังกล่าวว่า ยืนยันหลักการต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ ประเด็นนี้ต้นตอปัญหาใหญ่ๆเกิดจากมีแก๊งมาเฟียเกี่ยวข้องคือเข้าใจและเห็นใจกะเทยไทย กลุ่มที่ก่อเหตุแต่ความรุนแรงมันแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องกลับไปที่ต้นตอว่า แก๊งมาเฟียเหล่านี้เข้าเมืองมาเป็นนักท่องเที่ยวมาเป็นเซ็กซ์เวิร์กเกอร์เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แล้วยังทำผิดกฎหมายด้วยการทำร้ายร่างกายแต่เขาเป็นแก๊งมาเฟีย กระบวนการยุติธรรม ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่สามารถปราบแก๊งมาเฟียนี้ได้ นี่คือต้นตอใหญ่ใช่หรือไม่ มันนำไปสู่แก๊งมาเฟียที่รุมตบกะเทยไทยเมื่อ 2 วันที่แล้ว เข้าใจหัวอกกะเทยไทย แต่ไม่หนุนความรุนแรง เมื่อคืนเหตุการณ์น่ากลัวมากเป็นม็อบย่อยๆแล้วไม่มีกฎหมายเลย แต่เข้าใจเลยนะหัวอกกะเทยว่า มันเกิดมาจากกะเทยฟิลิปปินส์หาเรื่องก่อนอันนี้เข้าใจ แต่ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
สำหรับกรณีสาวข้ามเพศไทย-ฟิลิปปินส์ ยังถือเป็นประเด็นในต่างประเทศเช่นกัน โดยช่วงเดือนพ.ย.ปีก่อน หนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน รายงานอ้างการเปิดเผยของสำนักงานตำรวจกรุงโตเกียวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพยายามยกระดับการปราบปรามสาวประเภทสองชาวไทย และสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ ที่ใช้วีซ่าฟรีเพื่อการท่องเที่ยวเข้ามาหากินในเมืองหลวงของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสวนสาธารณะโอคุโบะ ย่านคาบุกิโจ เขตชินจุกุ ที่วางคนดูต้นทางแบ่งพื้นที่กันจับลูกค้าเพื่อขายบริการทางเพศ ทำรายได้วันละกว่า 100,000 เยน หรือเกือบ 24,000 บาท หรืออาจสูงถึง 1 ล้านเยน หรือเกือบ 240,000 บาท หากอยู่ครบกำหนดวีซ่าฟรี 15 วัน ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นยังรายงานว่า ญี่ปุ่นมีกฎหมายห้ามขายบริการทางเพศในลักษณะนั่งรอจับลูกค้าแต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะผู้หญิง ส่วนกรุงโตเกียวมีเทศบัญญัติที่ครอบคลุมทั้งเพศหญิงและเพศชายว่า ห้ามชักชวนลูกค้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อขายบริการทางเพศ ทำให้มีรายงานการจับกุมสาวข้ามเพศชาวไทยและฟิลิปปินส์ในกรุงโตเกียวอยู่เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม อัตราชายชาวต่างชาติที่มาค้าบริการทางเพศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะแต่เขตชินจุกุในกรุงโตเกียว ยังรวมถึงเขตวากะบะโจ เขตนากะ เมืองโยโกฮามาและจังหวัดคานากาวะ ทางตะวันตกของกรุงโตเกียว
ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น. วันเดียวกันนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความพาสาวสองชาวไทย 4 คน ผู้เสียหายจากเหตุการณ์วิวาทกับกลุ่มสาวสองชาวฟิลิปปินส์ เข้าพบ พ.ต.ท.เทอดศักดิ์ มนัสชน สว. (สอบสวน) สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งความดำเนินคดี กับกลุ่มสาวสองชาวฟิลิปปินส์ในข้อหาชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย นายไพศาลกล่าวว่า การรวมกลุ่มของ LGBTQ+ เมื่อวานนี้ แสดงให้เห็นว่าคนไทยยอมไม่ได้กับเรื่องนี้ สาวสองชาวฟิลิปปินส์กลุ่มนี้ยังเดินทางกลับประเทศไม่ได้ ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาชิงทรัพย์และฐานสนับสนุนให้ชิงทรัพย์ โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี โดยวันนี้จะหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ถือว่าเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ ต้องติดแบล็กลิสต์ ห้ามเข้าประเทศ ในเรื่องมีเหตุสงสัยว่าเข้าข่ายมาค้าประเวณีหรือไม่ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนที่จะต้องเพิกถอนวีซ่า แต่ก่อนจะเพิกถอน วีซ่า หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง จะต้องติดคุกที่ไทยก่อน และค่อยออกไป จะได้จำประเทศไทยไปนานๆ ส่วนที่กลับไปแล้วไม่รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ทั้งหมดที่มีภาพถ่ายหรือพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้องในเหตุการณ์จะต้องมารับผิดชอบ
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่