ศูนย์จีโนมฯ เผยข้อมูล 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด พร้อมแนวทางลดผลกระทบ รวมทั้งป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้ง
วันที่ 26 มกราคม 2567 แฟนเพจ Center for Medical Genomics ของ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความว่า 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด (Long COVID): อัปเดตผลการศึกษาสำคัญ กลไกการเกิดโรค และแนวทางการลดผลกระทบจากลองโควิด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้ง
ชื่ออย่างเป็นทางการของภาวะลองโควิดในสหรัฐอเมริกาคือ "ภาวะหลังโควิด" (Post-COVID Conditions; PCC) ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) โดยมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น long-haul COVID, post-acute COVID-19, long-term effects of COVID, Chronic COVID และ post-acute sequelae of SARS-CoV-2 infection; PASC) เป็นต้น
ภาวะลองโควิดคือกลุ่มอาการหรือภาวะที่ร่างกายอ่อนแอลงหลังการติดเชื้อ ไวรรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) พบมากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และพบมากกว่า 200 อาการ ส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบ ทั่วโลกมีผู้ป่วยอาการลองโควิดประมาณ 65 ล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ทบทวนวรรณกรรม ค้นคว้า รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และนำมาประมวลเรียบเรียงเป็น 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด
1. ความหมายและขอบเขตกลุ่มอาการลองโควิด: อาการลองโควิดหรือที่รู้จักกันในชื่อ 'ผลระยะยาวของโควิด-19 (post-acute sequelae of COVID-19: PASC) มีลักษณะอาการที่หลากหลายซึ่งคงอยู่หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเฉียบพลัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ
...
การปรับปรุง: เพิ่มความตระหนักรู้และความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับอาการที่หลากหลายของลองโควิดเพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนด้านการรักษาอย่างทันท่วงที
2. ความชุกและผลกระทบ: ลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 65 ล้านคนทั่วโลก จากการบันทึกข้อมูลทางคลินิกที่ถูกบันทึกไว้จากผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 651 ล้านคน พบอัตราการอุบัติการณ์โดยประมาณที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
การป้องกัน: ดำเนินโครงการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางและวางมาตรการด้านสาธารณสุขอื่นๆ เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดการติดเชื้อโควิด-19 และผลที่ตามมาจากกลุ่มอาการลองโควิด
3. ความสัมพันธ์ระหว่างอายุและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล: กลุ่มอาการลองโควิดพบมากในช่วงอายุระหว่าง 36 ถึง 50 ปี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน อันรวมถึงอัตราการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ กิจกรรมทางสังคม และลักษณะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับอายุบางประการ โดยพบว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาล และ 50-70% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีอาการป่วยเป็นลองโควิด
แนวทางแก้ไข: กำหนดมาตรการแทรกแซงการระบาดและสร้างความตระหนักรู้ด้านอาชีวอนามัยเน้นที่กลุ่มเสี่ยงอายุ 36-50 ปี เพื่อลดการสัมผัสจากสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้น้อยที่สุด และส่งเสริมมาตรการที่ไม่ใช้ยาและวัคซีน เช่น ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย ร่วมกับการระดมฉีดวัคซีน ให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่ออาการเริ่มส่อรุนแรง หรือเป็นกลุ่มเปราะบาง
4. ความซับซ้อนและความรุนแรงของกลุ่มอาการลองโควิด: กลุ่มคนที่พบอาการลองโควิดมีรายงานอาการที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่างๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้การดูแลรักษามีความซับซ้อน
การปรับปรุง: ส่งเสริมการดำเนินการในรูปแบบสหคลินิก มีแพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องลองโควิดให้การดูแลและการจัดการอาการต่างๆ อย่างครอบคลุมซึ่งปรับให้เหมาะกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
5. เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด อาการลองโควิดมีความเชื่อมโยงกับสภาวะอาการที่พบใหม่หลายอาการ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวานประเภท 2, อาการปวดกล้ามเนื้อจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME), อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS) และภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงระบบที่กว้างขวาง
การป้องกัน: เสริมสร้างการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรคของสภาวะเหล่านี้ และพัฒนากลยุทธ์การป้องกันแบบกำหนดเป้าหมายสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง
6. หาสาเหตุเพื่อตั้งสมมติฐานการเกิดโรค: มีการพูดคุยถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ต่างๆ เช่น รังโรคของไวรัส การควบคุมภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการลองโควิด
การปรับปรุง: ลงทุนในการวิจัยเพื่อเข้าใจกลไกพื้นฐานของกลุ่มอาการลองโควิด เพื่อปูทางไปสู่วิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพ
7. ข้อมูลเชิงลึกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและไวรัสวิทยา: การศึกษาวิจัยเชิงลึกได้เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการตอบสนองทั้งทางภูมิคุ้มกันและไวรัสวิทยา ซึ่งรวมถึงความอ่อนล้าของทีเซลล์ ระดับไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้น และการเกิดขึ้นของแอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานต่อระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ การค้นพบทางไวรัสวิทยายังเน้นย้ำถึงบทบาทของการติดเชื้อแฝงอยู่ในร่างกาย (viral persistence) และกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลต่อพยาธิวิทยาการเกิดอาการลองโควิด
แนวทางแก้ไข: กำหนดการบำบัดเพื่อปรับภูมิคุ้มกันและกลยุทธ์การรักษาเฉพาะบุคคลโดยพิจารณาโปรไฟล์การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล ขณะเดียวกันก็ผสมผสานข้อมูลเชิงลึกด้านไวรัสวิทยาเพื่อกำหนดเป้าหมายส่วนประกอบของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคลองโควิด
8. ความเสียหายของอวัยวะและปัญหาทางระบบของร่างกาย: อาการลองโควิดนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะในวงกว้าง รวมถึงหัวใจ ปอด และสมอง เกิดปัญหาต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนในระบบโลหิตของร่างกาย
การปรับปรุง: ติดตามและการแทรกแซงอาการดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสียหายของอวัยวะ เช่น หัวใจ ปอด และสมองและพยายามแก้ไขปัญหาเชิงระบบในเชิงรุก
9. ผลกระทบของระบบประสาทและการรับรู้: อาการลองโควิดส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการสูญเสียความทรงจำ ความบกพร่องทางสติปัญญา และการรบกวนทางประสาทสัมผัส ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตประจำวัน
การป้องกัน: จัดทำโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพทางปัญญาและบริการสนับสนุนเพื่อช่วยในการฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของบุคคลที่ได้รับผลกระทบ
10. ME/CFS, Dysautonomia และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด: สังเกตพบความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้ออันมีสาเหตุมาจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME) และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS), ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) กับอาการลองโควิด เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome: POTS) หรือกลุ่มอาการการกระตุ้นเซลล์แมสต์ (mast cell activation syndrome) อันเป็นภาวะที่เซลล์แมสต์ปล่อยสารเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ เซลล์เหล่านี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ ยา ความเครียด และอาหาร ทำให้มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่ควรครอบคลุมประวัติทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยา เช่น ยาแก้แพ้และยาเพิ่มความเสถียรของเซลล์แมสต์
การปรับปรุง: ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มอาการ ME/CFS, ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์และแพทย์ผู้รักษาโรคลองโควิดเพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและพัฒนาแนวทางการรักษาแบบองค์รวม
11. ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์: ลองโควิดส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และลูกอัณฑะ บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวิจัยและการดูแลเฉพาะทาง
วิธีแก้ไข: ดำเนินการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของอาการลองโควิด และให้บริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม
12. ผลกระทบต่อเด็ก: เด็กได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอาการลองโควิด โดยมีอาการและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่รุนแรงคล้ายผู้ใหญ่ กระตุ้นให้มีการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การดูแลสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบางนี้
การป้องกัน: จัดลำดับความสำคัญของการวิจัยในเด็กเกี่ยวกับโรคลองโควิด พัฒนาวิธีปฏิบัติในการรักษาที่เป็นมิตรต่อเด็ก และจัดให้มีระบบช่วยเหลือสำหรับเด็กที่ได้รับผลกระทบและครอบครัวของเด็ก
13. ระยะเวลาการดำเนินของโรคและภาวะลุกลามของอาการ: อาการเริ่มแรก ช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค และการลุกลามของอาการของลองโควิดนั้นแตกต่างกันอย่างมาก
I. การเริ่มมีอาการ (onset): ช่วงเวลานี้อาจมีตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์หลังการติดเชื้อ
II. ระยะเวลาการดำเนินของโรค (duration): ระยะเวลาที่แต่ละบุคคลประสบกับอาการลองโควิดมีความผันแปรสูง บางคนพบว่าอาการค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือนหรือนานกว่าหนึ่งปี
III. การลุกลาม (progression) : บางคนมีอาการลองโควิดคงที่ บางคนเป็นๆ หายๆ บางรายอาจมีอาการดีขึ้นในระยะๆ ตามด้วยการกำเริบของโรค (มักเรียกว่ารูปแบบ 'รถไฟเหาะตีลังกา') และบางคนอาจสังเกตเห็นการอาการค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
การปรับปรุง: ใช้การลงทะเบียนผู้ป่วยและการศึกษาระยะยาวเพื่อจัดทำแผนผังความก้าวหน้าของอาการ และแจ้งแผนการรักษาและการให้คำปรึกษาเชิงพยากรณ์ ความผันแปรของเวลาการดำเนินโรคและการลุกลามของอาการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางการรักษาและการช่วยเหลือผู้ป่วยแบบเฉพาะบุคคล
14. เครื่องมือวินิจฉัยและการรักษา: การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยและกลยุทธ์การรักษาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาที่ได้รับการตรวจสอบ มีประสิทธิผล และเครื่องมือวินิจฉัยที่ครอบคลุม
ทางแก้ไข: เร่งการพัฒนาและการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวินิจฉัย ตัวชี้วัดทางชีวภาพ และการรักษาที่มีประสิทธิผล ผ่านการระดมทุนที่เพิ่มขึ้นและความพยายามในการวิจัยร่วมกัน
15. ผลกระทบของวัคซีน สายพันธุ์ของโควิด-19 และการติดเชื้อซ้ำ: การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน, SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ และการติดเชื้อซ้ำต่ออุบัติการณ์และการลุกลามของอาการลองโควิด:
I. ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออุบัติการณ์ของโรคลองโควิด:
• ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่อการพัฒนาของลองโควิดนั้นแตกต่างกันไปตามการศึกษาต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษา เวลาที่ผ่านไปนับตั้งแต่การฉีดวัคซีน และคำจำกัดความเฉพาะของกลุ่มอาการลองโควิดที่ใช้
• การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการพัฒนาการเกิดลองโควิดระหว่างบุคคลที่ฉีดวัคซีนและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
• หลายการศึกษาแนะนำว่าวัคซีนให้การป้องกันอาการลองโควิดได้ในระดับหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการลองโควิดได้ 15% ถึง 41% แม้จะป้องกันอาการลองโควิดได้บางส่วน แต่เรายังพบลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9%
II. อิทธิพลของเชื้อ SARS-CoV-2 และระดับการฉีดวัคซีน:
• สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรตั้งข้อสังเกตว่าโรคลองโควิดนั้นแพร่หลายน้อยกว่า 50% ในผู้ที่ฉีดวัคซีนสองครั้งและต่อมาติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ ดั้งเดิม BA.1 (breakthrough infection) เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามครั้ง
• พบอาการลองโควิดในผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 มากกว่า BA.1 โดยทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2 พัฒนาเป็นลองโควิดถึง 9.3%
III. ผลกระทบของการฉีดวัคซีนต่ออาการลองโควิดที่เป็นอยู่เดิม:
• อิทธิพลของการฉีดวัคซีนต่ออาการของบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดมานานก่อนหน้าจะแตกต่างกันไป บุคคลเหล่านี้ประมาณ 16.7% มีอาการบรรเทาขึ้น ในขณะที่ 21.4% มีอาการแย่ลง ส่วนคนอื่นๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของอาการ
IV. ผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำ:
• การติดเชื้อซ้ำด้วยโควิด-19 กำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น การทำความเข้าใจผลกระทบของการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำหลายครั้งถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคลองโควิดหลังการติดเชื้อซ้ำครั้งที่สองหรือสาม และผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำต่อบุคคลที่เป็นโรคลองโควิดอยู่แล้ว
• การวิจัยเบื้องต้นบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอาการลองโควิดแม้แต่ในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนสองหรือสามเข็มแล้วก็ตาม มีหลักฐานว่าการติดเชื้อซ้ำหลายครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมหรือเพิ่มความอ่อนไหวต่อการเกิดลองโควิดประเภท ME/CFS
• มีหลักฐานเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันบางอย่างในผู้ที่เป็นโรคลองโควิดเป็นเวลานานจะทำให้ระดับแอนติบอดีในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 มีระดับต่ำลงและมีระดับแอนติบอดีต่อร่างกายตนเองที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อซ้ำ
การป้องกัน: ปรับเปลี่ยนและอัปเดตกลยุทธ์การฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ และข้อมูลใหม่ของการติดเชื้อซ้ำ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงและความรุนแรงของการเกิดอาการลองโควิด
16. ความท้าทายและข้อเสนอแนะ: ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต้องร่วมสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกอย่างเข้มแข็งเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นนี้จากปัญหาลองโควิด
การปรับปรุง: ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขต้องร่วมกันวางนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวในด้านการสนับสนุนการวิจัยที่เกี่ยวกับลองโควิด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพและระบบ