"สมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก" สำรวจพบ "คุณแม่ยุคใหม่" หยุดให้นมลูก เพราะต้องกลับไปทำงานสูงถึงร้อยละ 39 แนะควรจัดนักโภชนาการเสริมความเข้าใจเรื่องอาหารของเด็กและทารก เพื่อพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง
พญ.กิติมา ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก หรือ PNMA กล่าวว่า วิจัยล่าสุดจากสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก เรื่องการสำรวจรูปแบบวิธีการบริโภคและความเข้าใจของสารอาหารในเด็ก โดยเราได้สำรวจความคิดเห็นจากคุณแม่ในวัย 18-50 ปี ที่มีลูกอายุ 1-3 ขวบปี จำนวน 800 คนทั่วประเทศ ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ จนถึงต่างจังหวัดในตัวเมืองและนอกเมือง
ทั้งนี้ งานวิจัยพบว่าร้อยละ 39 การกลับไปทำงานและการมีน้ำนมไม่เพียงพอเป็นสาเหตุสำคัญในการหยุดให้นมแม่ ส่วนร้อยละ 38 เลือกที่จะหยุดให้นมลูก แล้วหันมาใช้นมเสริมอาหารเพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนคุณแม่ที่หยุดให้นมแม่เพราะอยากเสริมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้ลูกอยู่ที่ร้อยละ 31 และอยากให้ลูกหัดเรื่องการเคี้ยวอาหารและคิดว่าปริมาณสารอาหารในนมแม่ไม่เพียงพอ อยู่ที่ร้อยละ 21
นอกจากนี้เกณฑ์เฉลี่ยการให้นมแม่ของกลุ่มประชากรตัวอย่าง ระบุว่า มีระยะเวลาการให้นมแม่เฉลี่ยอยู่ในช่วง 3-6 เดือน สูงถึงร้อยละ 28 ซึ่งคุณแม่ที่ให้นมแม่ในกลุ่มระยะเวลานี้ ส่วนใหญ่เป็นคุณแม่ที่อาศัยในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเขตเมือง และมีอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในช่วงวัยทำงาน
ส่วนระยะเวลาการให้นมแม่ 0-3 เดือน, 6-9 เดือน, 9-12 เดือน และให้นมแม่มากกว่าปีครึ่ง อยู่ที่ร้อยละ 12 เท่ากันทั้งหมด และพบว่าคุณแม่ที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองและอายุน้อย มีการให้นมบุตรที่ยาวนานกว่าคุณแม่ที่อาศัยอยู่นอกเมืองแต่อายุเยอะ ขณะที่อายุของการให้นมบุตรโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ปีในทุกกลุ่มย่อย
...
พญ.กิติมา กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่าประหลาดใจในผลการวิจัยชิ้นนี้ คือ เราพบว่าคุณแม่ที่อาศัยในต่างจังหวัดทั้งในตัวเมืองและนอกเมือง มีเปอร์เซ็นต์การให้นมแม่ที่ระยะเวลา 0-6 เดือนมากที่สุด แบ่งเป็นเขตเมืองสูงถึงร้อยละ 47
ส่วนคุณแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดอยู่ที่ร้อยละ 37 ในขณะที่คุณแม่ในกรุงเทพฯ มีอัตราให้นมแม่ในระยะยาว 6-12 เดือน สูงถึงร้อยละ 48 เราจึงจำเป็นต้องให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนมแม่และนมเสริมอาหาร เพื่อการเสริมพัฒนาการที่ดีสำหรับเด็กอย่างต่อเนื่อง
จากงานวิจัยจะเห็นได้ว่าเราจำเป็นต้องเร่งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านสารอาหารในนมแม่และนมเสริมอาหารอย่างครบถ้วน และเป็นไปตามพัฒนาการเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อสำคัญของเด็กที่จะต้องเริ่มกินอาหารบดละเอียดครั้งละน้อยๆ
จากนั้นค่อยๆ เพิ่มปริมาณควบคู่ไปกับการดื่มนมแม่ หรือนมเสริมอาหาร ในกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ เพื่อให้เด็กได้ปรับระบบการย่อยอาหารตามพัฒนาการร่างกาย และได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างครบถ้วน
หากคุณแม่ขาดความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการสำหรับเด็ก ในช่วงรอยต่อระหว่างนมแม่และการใช้นมเสริมอาหารตรงนี้ไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการและสุขภาพร่างกายของเด็กในระยะยาว ซึ่งจะกระทบเป็นลูกโซ่ถึงคุณภาพประชากรไทยรุ่นใหม่ในอนาคตอีกด้วย
ดังนั้นใช้การสื่อสารทุกช่องทางตั้งแต่การโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ เว็บไซต์ เพจโซเชียลมีเดีย สื่อบุคคลที่มีความรู้ความน่าเชื่อถือ เช่น กุมารแพทย์ และนักโภชนาการ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่คุณแม่ทั่วประเทศอย่างทั่วถึง เพราะเชื่อว่าคุณแม่ส่วนใหญ่ล้วนอยากให้นมแม่แก่ลูกด้วยความรักความห่วงใย
อย่างไรก็ตาม แต่ละครอบครัวอาจมีความจำเป็นและทางเลือกที่แตกต่างกันออกไป การส่งเสริมความรู้ด้านสารอาหารในนมแม่และนมเสริมอาหารอย่างรอบด้าน และเข้าถึงได้ทุกครอบครัว จะช่วยให้คุณแม่ทุกคนสามารถบริหารจัดการโภชนาการสำหรับลูก ภายใต้ข้อจำกัดของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพแก่เด็กในทุกช่วงวัย.