ผู้เชี่ยวชาญสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ คาดการณ์ปลายปีนี้จะไม่หนาว อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 2 องศา ส่วนเมษาปีหน้า ก็จะร้อนกว่าปกติ แนะเกษตรกรติดตามข้อมูล เพราะอาจเข้าสู่ฤดูฝนช้า
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 มีรายงานว่า รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานฯ ที่มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ปลายฝน ฝนก็ตกโดยเฉพาะภาคใต้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ สำหรับน้ำท่วมรอการระบายเป็นเรื่องปกติครับ การคาดการณ์ปริมาณฝนในปีไม่ปกติ (เช่น ปีเอลนีโญ) มีความคลาดเคลื่อนสูง
เช่นปีนี้ การพยากรณ์รายฤดูกาล แบบจำลองโดยส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศฝนน้อย แต่ในข้อเท็จจริง ปริมาณฝนเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม มีมากกว่าปกติ ประมาณ 30% และ 19% ตามลำดับ โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคอีสาน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนสะสมยังคงน้อยกว่าปกตินะครับ ยกเว้นภาคอีสาน ดังนั้นการพยากรณ์ฝนปีนี้ จึงพึ่งได้เฉพาะการคาดการณ์ล่วงหน้าเพียง 1 เดือนเท่านั้น เกษตรกร และชาวนาจึงต้องติดตามสถานการณ์ทุกเดือนครับ
แม้ว่าเดือนกันยายนและตุลาคม จะเกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วมในบางพื้นที่ เช่น ภาคเหนือตอนบน และภาคอีสาน แต่เมื่อวิเคราะห์จากดรรชนีฝน SPEI พบว่าช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมา หลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก ยังคงมีฝนแล้ง ยกเว้นบริเวณชายขอบฝั่งตะวันตก และตะวันออกเฉียงเหนือริมแม่น้ำโขง
และเมื่อวิเคราะห์การกระจายของอุณหภูมิ ช่วงเดือนธันวาคม และเดือนเมษายนตั้งแต่ปี 2563-2567 พบว่าในเดือนธันวาคม จะมีอุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทุกปี (ความหนาวเย็น) ยกเว้นปี 2566 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้น เกือบ 2oC นั่นหมายความว่าปีนี้เราจะไม่หนาว
...
ในขณะเดียวกัน อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนเมษายนปี 2567 ก็จะสูงกว่าปกติ 1. 5oC เราก็จะร้อนสุดๆ เหมือนกัน จากปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (โลกร้อน) และสภาพอากาศแปรปรวน (เอลนีโญ) ดังนั้นปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้าเสื้อหนาว อาจจะขายไม่ค่อยดีนะครับ พ่อค้าแม่ค้าอย่าสั่งมาตุนเยอะน่ะครับ
ในขณะที่เริ่มเข้าสู่ฤดูการทำนาปรัง ฝนก็ตกได้น้ำ ราคาข้าวดีจูงใจให้ชาวนาทำนากันในหลายพื้นที่ ปริมาณน้ำต้นทุน (เฉพาะในลุ่มเจ้าพระยา) ประมาณ 62% (11,000 ล้านลูกบาศ์กเมตร) น้อยกว่าปี 2565 (78%, 14,000 ล้านลูกบาศ์กเมตร) โดยปีที่แล้ว มีการจัดสรรน้ำกว่า 5,800 ล้านลูกบาศ์กเมตร ทำนาปรังกว่า 7 ล้านไร่ ในลุ่มเจ้าพระยา
แต่ปีนี้ดูจากข้อมูลกระทรวงเกษตรฯ จะมีการจัดสรรน้ำให้ชาวนา เพียง 2,300 ล้านลูกบาศ์กเมตร ซึ่งจะมีพื้นที่ทำนาได้เพียงไม่เกิน 2 ล้านไร่ จาก 8 ล้านไร่ อะไรจะเกิดขึ้น? พื้นที่นอกเขตชลประทานกว่า 80% โดยเฉพาะในภาคอีสาน ถ้าไม่มีน้ำต้นทุนของตัวเอง (บ่อ สระ ฝายขนาดเล็ก ระบบสูบน้ำเข้าแปลงนา) ประกอบกับอากาศร้อน และแล้งจัดปีหน้า อัตราการระเหยจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ปัญหาเรื่องไฟป่าในภาคเหนือ ฝุ่น PM 2.5 และ คลื่นความร้อนในเมืองจะตามมา
แม้ว่าการพยากรณ์ฝนรายฤดูกาล อาจจะมีความคลาดเคลื่อน แต่ก็มีความจำเป็นต่อชาวนา ในการเตรียมปัจจัยการผลิต เพราะต้นทุนการทำนาจะสูง หากไม่มีการวางแผน ข้อมูลล่าสุดจากแบบจำลองหลายชุด บ่งชี้ปริมาณฝนต้นฝนปี 2567 อาจจะน้อยกว่าปกติ
ส่งนัยถึงการเข้าสู่ฤดูฝนที่ล่าช้าออกไป ปริมาณน้ำต้นทุน ที่ต้องเตรียมไว้สำหรับช่วงต้นฤดูฝน พื้นที่นอกเขตชลประทานกว่า 80% จะต้องเตรียมการรับมือด้วยครับ และที่สำคัญเกษตรกร และชาวนาต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดน่ะครับ เพราะสภาพอากาศ คือชีวิตความเป็นอยู่ของทุกท่าน.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์