เจ้าหน้าที่ อบต.แม่สิน จ.สุโขทัย สุดเศร้า ร่วมกันทำพิธีฝังศพให้ "เจ้าไวท์" แมวขวัญใจสำนักงาน ที่สิ้นใจลง หลังป่วยลูคีเมียรักษาตัวอยู่ร่วมเดือน
วันที่ 18 ตุลาคม 2566 กลายเป็นเรื่องราวเศร้า ที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Kookai Phanichkorn ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานแห่งหนึ่ง กำลังอุ้มแมวตัวสีขาวที่นอนเสียชีวิตบนหมอน เพื่อนำไปฝังในหลุมที่ขุดไว้ พร้อมกับร่ำลา และสั่งเสียแมวตัวดังกล่าว ซึ่งหลังจากคลิปดังถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดินทางไป ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สิน อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เพื่อพบกับ น.ส.พนิชกร เตปันวงศ์ อายุ 44 ปี ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของคลิปดังกล่าว เปิดเผยว่า แมวที่เสียชีวิต ชื่อเจ้าไวท์ เป็นแมวพันธุ์ไทยตัวผู้ สีขาวสลับน้ำตาลดำ ขนข้างตัวด้านขวาเป็นรูปหัวใจ อายุประมาณ 6 ปี
...
เจ้าไวท์เป็นแมวของชาวบ้าน ที่อยู่ด้านหลัง อบต. แต่เมื่อประมาณปลายปี 2561 มันมักจะมุดรั้วเข้ามาเล่นกับแมวที่ใน อบต.บ่อยๆ นานเข้าก็ไม่ยอมกลับบ้าน เพราะเจ้าหน้าที่ใจดี ชอบเล่นด้วย มักให้อาหาร และขนมกินอยู่เสมอ จนเจ้าไวท์ย้ายสำมะโนครัวมาลงหลักปักฐานอยู่ที่ อบต.แห่งนี้ ตั้งแต่นั้นมา โดยทำตัวเป็นเสมือนพนักงานต้อนรับ
เวลามีผู้มาติดต่องาน เจ้าไวท์มักจะไปทักทายคลอเคลียนั่งตัก ออดอ้อน จนเป็นที่รู้จัก และเอ็นดูของทุกคน หากวันไหนมาติดต่องานแล้วไม่พบเห็น ก็มักถามหา แต่บ่อยครั้งที่เจ้าไวท์ออกอาการวีน และเถียงใส่เจ้าหน้าที่ ตนเคยถ่ายคลิป ลงติ๊กต่อกจนมีคนเข้ามาชมเป็นจำนวนมาก และด้วยความที่เป็นแมวหนุ่ม เจ้าไวท์ก็มักไปมีเรื่องวิวาทกับแมวที่อื่นอยู่เรื่อยๆ จึงต้องพาไปหาหมอให้รักษาบาดแผลบ่อยๆ
จนกระทั่งปี 2564 หมอแจ้งว่าตรวจพบว่าเจ้าไวท์ป่วยเป็นโรคลูคีเมีย อายุอาจจะสั้น พวกเราก็ช่วยกันดูแลเรื่อยมา จนกระทั่งถึงต้นเดือน ก.ย. เจ้าไวท์เริ่มกินอาหารน้อยลง พวกเราก็ต้องบังคับให้กิน และให้อาหารเสริม กระทั่งวันที่ 25 ก.ย. เจ้าไวท์เริ่มเป็นไข้ ซึม กินอาหารไม่ได้แล้ว
เราก็ดูแลรักษาอยู่ 3 อาทิตย์ ดูท่าจะไม่รอด จึงสั่งไว้ว่า อย่าตายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุด เพราะจะไม่มีพี่ๆ อยู่ อบต. เจ้าไวท์คงเข้าใจเพราะมาเสียชีวิตในวันจันทร์ที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ทุกคน จึงช่วยกันจัดการฝังร่างไว้ด้านหลังที่ทำการ อบต. ตามที่ปรากฏในคลิป.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Kookai Phanichkorn