โซเชียลวิจารณ์ยับ คลิปลูกสาวสุดเดือด ฉะ จนท. จอดรถแวะซื้อ "กล้วยทอด" ระหว่างพาผู้ป่วยแจ้งเหตุฉุกเฉิน มาส่งโรงพยาบาล ลั่นหากพ่อเป็นอะไรไป จะเอากลับมาคืนให้ได้ไหม

วันที่ 14 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อหญิงผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาวกว่า 4 นาที ที่บันทึกเหตุการณ์ ขณะที่เธอ แม่ และน้องชาย กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพื่อสอบถามถึงเหตุผล ที่มีการแวะซื้อกล้วยทอด ระหว่างทางที่นำคุณพ่อของเธอมาส่งโรงพยาบาล

โดยลูกสาวที่เป็นคนถ่ายคลิปนั้น ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ชายคนดังกล่าวว่า "เจ้าหน้าที่พูดไม่ดี ตั้งแต่รับโทรศัพท์อันนี้ตนไม่ว่า แต่พี่แวะดูต้นไม้หน้าปากทาง อันนี้ไม่เข้าใจ แล้วยังเอากล้วยทอดอีก อันนี้ไม่เข้าใจใหญ่เลยพี่ซื้อทำไม เวลารับผู้ป่วย พี่ก็ควรรับผู้ป่วย มาให้ถึงโรงพยาบาล ไม่ควรจอดซื้อกล้วยทอด

ตอนแรกนึกว่าถนนไม่ดี แต่น้องที่นั่งมากับพ่อในรถ บอกว่าพี่แวะซื้อกล้วยทอด มันใช่เวลาหรือเปล่า หากพ่อเป็นอะไรขึ้นมา พี่รับผิดชอบเอาพ่อมาคืนได้ไหม ทั้งๆ ที่ซักประวัติที่บ้านแล้ว ถามพ่อว่าเต็มร้อยให้เท่าไร พ่อก็ตอบไปว่า 8 เปอร์เซ็นต์

แล้วทำไมถึงไม่รีบ กินกล้วยทอดทำไม ทำแบบนี้ได้อย่างไร หรือว่ามันไม่ใช่พ่อของพี่ ในการรักษา พี่ไม่มีสิทธิ์แวะข้างทาง มันสมควรจะกินตอนนั้นไหม หากพี่อยากกิน ก็โทรบอกก็ได้ จะซื้อไปให้ แต่ไม่สมควรพาพ่อแวะ มันเกินไป"

ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ก็ได้ตอบกลับมาว่า "ขอโทษครับ และเข้าใจผิดคิดว่าน้องชายที่ขึ้นรถมาด้วยอายุไม่ถึง"

เธอจึงบอกว่า เรื่องที่คิดว่าน้องชายอายุไม่ถึง เป็นเด็กนั้นไม่ผิด เพราะน้องเธอหน้าเด็กจริงๆ แต่เธอก็ได้แจ้งตั้งแต่อยู่บ้านแล้ว ว่าน้องอายุ 22 ปี ถึงเกณฑ์ที่จะให้ข้อมูลต่างๆ ได้ แต่อันนี้ก็ไม่ติดใจ ตัดออกไปได้ แต่ที่ติดใจคือดูต้นไม้ และแวะซื้อกล้วยทอด ทำไปทำไม คนที่เขาส่งกับข้าว เขายังไปเร็วกว่านี้เลย

...

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต่างตำหนิถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่ควรต้องรีบนำผู้ป่วยมาส่งให้เร็วที่สุด

ต่อมา เฟซบุ๊ก โรงพยาบาลนครนายก เพจ ก็ได้มาคอมเมนต์ข้อความระบุว่า เบื้องต้นผู้บริหารโรงพยาบาลนครนายกได้รับทราบข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในคลิปวิดีโอดังกล่าวแล้ว ทางโรงพยาบาลนครนายก ไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้

และขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ ผู้ให้บริการจากเหตุการณ์ครั้งนี้และที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้มีการฝึกอบรมทางด้านจริยธรรมวิชาชีพการให้บริการอย่างเข้มงวด อย่างสม่ำเสมอ

และขอเรียนให้ทราบว่าขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของแพทย์ และพยาบาล รายงานจากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัยโรค ไม่พบภาวะหัวใจขาดเลือด อาการทั่วไปคงที่ ขณะนี้ให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการต่อไปค่ะ

อย่างไรก็ตาม คุณแอ๋ม อายุ 32 ปี เจ้าของคลิปดังกล่าว ได้เปิดใจกับ "ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" ว่าในตอนนี้ทางโรงพยาบาล ยังไม่รับผิดชอบอะไรเลย คำขอโทษก็ไม่มี พร้อมเล่าเหตุการณ์ว่า ในตอนนั้นพ่อตนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เกิดอาการแน่นหน้าอก จึงได้โทรประสานหาผู้ใหญ่บ้าน ที่เป็นรถกู้ชีพ แต่เขาแนะนำให้โทรหา 1669 เพราะอาจจะเร็วกว่า หากคันไหนมาก่อนก็ไปคันนั้น

ให้น้องชายคนในคลิปโทร. ไป น้องก็บอกว่าเขาพูดไม่ดีด้วยตั้งแต่ในโทรศัพท์ จึงแนะนำให้น้องเก็บไว้ในใจให้ส่งพ่อไปโรงพยาบาลก่อน ผ่านไปสักพักน้องก็โทรไปถามอีกว่ารถมาถึงรึยัง พ่อตนไม่ไหวแล้ว เขาก็บอกว่ามาแล้ว ทั้งที่น้องรออยู่หน้าบ้านไม่มีรถมาเลย

จนรถมาถึงที่บ้าน ก็ซักถามประวัติเรียบร้อย แล้วเอาพ่อขึ้นรถ แต่จอดอยู่หน้าบ้าน ประมาณ 20 นาที และเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่รักษาให้ เพราะมีเด็กไป ตนเองจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปแทน ทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ เนื่องจากกำลังดูแลลูกน้อย แต่พอเดินไปท้ายรถ เขาก็ออกรถไปเลย

ตนเองก็ไม่ได้อะไร ขับรถ จยย. เพื่อตามไป ซึ่งในตอนนั้นก็เห็นว่ารถพยาบาล ได้จอดแวะที่ร้านกล้วยทอด ก็ไม่ได้คิดอะไร เห็นว่าเขาทำถนนใหม่ รถอาจจะไปไม่ได้ จึงโทรไปถามน้องว่ารถเป็นอะไร ทางน้องก็ไม่ตอบ เพิ่งมาบอก ตอนถึงโรงพยาบาล ว่าเขาแวะดูต้นไม้ แวะเอากล้วยทอด แล้วก็เกิดเหตุการณ์อย่างในคลิปขึ้น ซึ่ง ในตอนแรกก็เข้าไปขอพูดคุยด้วยดีๆ แล้ว แต่เขาไม่ยอมคุยและไล่ออกมา

เมื่อถามถึงการรักษาพ่อ คุณแอ๋ม เผยว่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เขาก็เจาะเลือดให้พ่อตามขั้นตอนการรักษา ในรอบนี้ยังไม่ถึงกับสโตรก ก็ให้กลับบ้าน ตนก็ไปขอหมอว่าให้พ่อนอนได้ไหม เพราะยังกังวล พ่อหายใจไม่สะดวก อยากขอนอนดูอาการ เพราะไม่สะดวกเดินทาง และไม่อยากโทรหารถโรงพยาบาลอีกแล้ว แต่ทางคุณหมอก็ไม่ให้นอน จึงนำพ่อกับมาที่บ้าน ซึ่งอาการตอนนี้ดีขึ้นแล้ว

สุดท้ายนี้ คุณแอ๋ม ฝากถึงโรงพยาบาลว่า ช่วยทำให้ดีกว่านี้ เพราะเป็นรถของโรงพยาบาลโดยตรง และในขณะที่รับสายคนป่วย ก็ช่วยรีบมาถึงพ่อก่อน เพราะเราบอกข้อมูลทุกอย่างไปแล้ว แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ไม่กระตือรือร้นที่จะพาพ่อไปโรงพยาบาลเลย ซึ่งหากเป็นตาสีตาสา คนที่ไม่กล้าเอาเรื่อง จะเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือหากพ่อเสีย หรือเป็นอะไรขึ้นมา จะดึงพ่อตนกลับมาได้ไหม

อย่างไรก็ตาม หากทางโรงพยาบาล ได้ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม จะรายงานให้ทราบอีกครั้ง.