สรุปประเด็นร้อน วงการพระพุทธศาสนา หลัง "แพรรี่" วิจารณ์วัดดัง นำร่างของ "เกจิ" ที่มรณภาพแล้ว มาให้ฆราวาสชายหญิงสัมผัสทำความสะอาด ทำลูกศิษย์-ทนายรับไม่ได้ จ่อฟ้องเพราะทำให้เสื่อมเสีย

กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนแรงที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ เมื่อ แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า มันสมควรไหมคะ เอาร่างพระเกจิซึ่งเป็นครูบาอาจารย์มาให้ฆราวาสญาติโยมแตะๆ จิ้มๆ โดยเฉพาะก็ที่เป็นผู้หญิง เรื่องแค่นี้ทำไมคิดไม่ได้คะ อายเขาบ้างไหม เวลาไปบอกใครต่อใครว่า ฉันเป็นตำรวจพระ

ทั้งยังกล่าวอีกว่า การเก็บร่างของครูบาอาจารย์ไว้เพื่อสักการะบูชา ก็พอเข้าใจได้นะคะ แม้จะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน เรื่องการให้พิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย ตามหลักพระไตรลักษณ์ แต่เก็บไว้แล้ว ก็ควรคำนึงถึงเรื่องความเหมาะสมให้มากๆ การให้เกียรติ และการเคารพต่อร่างของพระเกจิ ที่ท่านมรณภาพไปแล้ว การเผยแพร่ภาพต่างๆ ที่ดูไม่งาม ซึ่งแม้แต่ในกรณีของบุคคลทั่วไป ก็ยังมีกฎหมายคุ้มครอง

แน่นอนว่าหลังจากเรื่องราวดังกล่าว ถูกเผยแพร่ออกไป หลายๆ คนก็เข้าใจได้ทันทีว่า วัดที่ถูกพูดถึง คือ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม เนื่องจากเพิ่งประกอบพิธีเปลี่ยนผ้าครองให้กับร่างของเกจิดังที่ได้ละสังขาร ในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา และมีภาพขณะที่บรรดาลูกศิษย์เข้าไปกราบไหว้ และทำความสะอาดให้กับเกจิดัง จึงกลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ซึ่งก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับแพรรี่ และคนที่ไม่เห็นด้วย

...

"ลูกศิษย์-ทนายวัด" ทนไม่ได้ จ่อฟ้อง "แพรรี่" เหตุให้วัดเสื่อมเสีย

ต่อมา ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ ไปยังวัดไผ่ล้อม อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พบกับนางนิศารัตน์ ด่านตระกูล อายุ 58 ปี เปิดเผยว่า ตนเองเป็นลูกศิษย์ของวัดไผ่ล้อม 20 ปี มาร่วมพิธีดีๆ 18 ปีแล้ว เพราะเมื่อรู้ว่า จะมีการนำร่างสรีระของหลวงปู่ มาเปลี่ยนผ้าครอง ด้วยความที่เป็นครูบาอาจารย์ก็อยากไป

โดยก่อนที่จะทำพิธีเปลี่ยนผ้าครอง ต้องทำความสะอาด ซึ่งทุกคนก็งสวมใส่ถุงมือ ก่อนจะใช้สำลี วาสลีน ชำระร่างของหลวงปู่ ที่เปรียบเสมือนพระพุทธรูป ทุกคนสามรถเข้าร่วมได้ โดยไม่มีการเป็น VIP แต่อย่างใด อีกทั้งใครจะขอพรอะไรก็ได้ตามศรัทธา 

ทั้งยังกล่าวอีกว่า แพรี่เอาความรู้สึกของพวกเราไปล้อเล่น บอกว่าไปเอามาหลวงปู่มาแช่ฟอร์มาลีน และเอามาหากิน คิดได้กันได้อย่างไร ในเมื่อค่าใช้จ่ายในพิธีก็ไม่มี เรายังมากินข้าวฟรีที่วัดด้วยซ้ำ คนอื่นตนไม่ทราบเจตนา อาจจะเพราะไม่ได้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จึงคิดว่าไม่จำเป็นในการเปลี่ยนผ้าครองก็ได้ แต่ตนพอทราบว่ามีพิธีก็มาร่วมกัน แต่กลับถูกกล่าวหาว่า เป็นการหากิน 

ส่วนในโซเชียลที่หลายคนเอารูปไปพาดพิง ตนเองไม่ใช่คนงมงาย ใครจะคิดยังไงกับวัดไผ่ล้อมเราไม่รู้ แต่อย่ามาเหยียบย้ำหัวใจพวกเรา เพราะตนก็เคยป่วยจนติดเตียง แล้วหายหลังจากอธิษฐานกับหลวงปู่ไว้ นอกจากนี้ยังมีหลายคน มานั่งร้อยพวงมาลัยเพชรทีละเม็ดๆ ถวาย แสดงว่าต้องได้รับสิ่งดีๆ จากหลวงปู่แน่นอน

สำหรับประเด็นดราม่าเรื่องทำความสะอาด หากปีหน้าตนไม่ได้มาร่วมงานดีๆ พวกโลกสวยทั้งหลาย จะมารับผิดชอบหรือไม่ เพราะเป็นกิจกรรมที่มงคล พวกตนไม่ก้าวก่ายใคร ไม่ชอบอะไรพี่ก็ไม่เคยไปยุ่ง 

ด้านนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร หรือ ทนายพจน์ อายุ 55 ปี ไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม และเป็นทนายความของวัดไผ่ล้อม เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวว่า ต้องบอกก่อนว่า คนที่ไม่เคยมาวัดไผ่ล้อม จะไม่ทราบว่าลูกศิษย์ของวัดไผ่ล้อมทำกันอย่างไรในแต่ละปี จึงได้จินตนาการไปได้ โดยเฉพาะคนโพสต์ต้นเรื่อง เป็นคนมีอคติกับหลวงพี่น้ำฝนกับวัดไผ่ล้อมมานาน จนทำให้ข้อเท็จจริงบิดเบือน ประชาชนไม่รู้จริงก็เชื่อ เพราะมีการวิจารณ์จนเสียหาย

ความจริงการนำร่างและสรีระ ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เป็นเกจิอาจารย์ ไม่ใช่เพียงแค่วัดไผ่ล้อมเพียงวัดเดียว แต่มีอีกหลายวัดในไทย ที่พระสงฆ์มรณภาพ ก็นำสรีระมาเปลี่ยนผ้าครองในแต่ละปี เป็นอะไรที่ชาวพุทธทำกันมานาน ไม่ใช่แค่วัดนี้ ลูกศิษย์ที่มาร่วมภายในงาน ถือเป็นการรำลึกบุญคุณของครูบาอาจารย์ รำลึกถึงคำสอน และเป็นการได้ฟังเทศน์ธรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด

สำหรับการเปลี่ยนผ้าครองของวัดไผ่ล้อม ทำมานานกว่า 18 ปีแล้ว วัดอื่นทำก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ส่วนเรื่องไม่เน่าเปื่อย ตนไม่ทราบต้องถามของหลวงพี่น้ำฝนเจ้าอาวาส สำหรับที่มีคนมาโจมตีมาโพสต์ คือ เจ้าประจำ ออกรายการให้สัมภาษณ์ และชงเรื่องในทางที่เสียหาย บุคคลเหล่านี้หลายครั้งหลายหนแล้ว

ทางหลวงพี่น้ำฝนได้ห้ามปรามลูกศิษย์ไม่ให้เข้าไปฟ้องร้อง แต่ครั้งนี้ลูกศิษย์เห็นควรว่าต้องปกป้อง ไม่ใช่ปกป้องแค่วัดไผ่ล้อม หรือ หลวงพี่น้ำฝน แต่ถือว่าเป็นการปกป้องศาสนา ปกป้องพระสงฆ์ ไม่ให้บุคคลเหล่านี้กระทำเช่นนั้นอีก

บอกตามตรงว่ามีการฟ้องร้อง ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย บอกได้เลยว่ามีคนดังหลายคน อาจได้รับเกียรติเป็นจำเลย ส่วนคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก บางคนอาจไม่รู้ข้อเท็จจริง ขณะนี้อยู่กำลังในระหว่างรวบรวมหลักฐาน

สำหรับเรื่องสรีระร่างที่มีการกล่าวอ้างว่า เอามาหากินกันนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะทางวัดไม่เคยรับบริจาค หรือตั้งตู้รับโดยเด็ดขาด จะเห็นได้จากสร้างวัดเป็นร้อยล้าน ก็เกิดจากความศรัทธาของลูกศิษย์ ที่มีต่อหลวงพ่อพูล

วัดไม่เคยเปิดรับบริจาคใดๆ การเปลี่ยนผ้าครอง ก็ไม่รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเวลาครบเวลาที่จะเปลี่ยนผ้าครอง และทำความสะอาด ศิษยานุศิษย์ทราบก็จะมารวมตัวกัน เพราะถือเป็นความเป็นสิริมงคลของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดแพรรี่ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้ง โดยระบุว่า แทนที่จะรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนพุทธบริษัท ปรับปรุงจัดการพิธีกรรมเกี่ยวกับศพของครูบาอาจารย์ให้ดีขึ้น จะได้เป็นการรักษาศรัทธารักษาเกียรติของครูบาอาจารย์ อันนี้นอกจากไม่รับฟังแล้วยังกลับจะมาไล่ฟ้องดิฉันอีก

ฟ้องมาค่ะ คนพวกนี้ดิฉันสอนไม่นำพาหรอก ต้องให้ศาลท่านสอนค่ะ เผื่อจะได้รู้จักผิดชอบชั่วดีมากขึ้น ดิฉันยืนยันนะคะว่า การปกป้องพระศาสนา เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน การวิจารณ์ความเชื่อทางศาสนา หรือพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์เป็นสิ่งที่ทำได้ค่ะ

ในคดีหนึ่ง ศาลท่านเขียนไว้ชัดเลยว่า "...การกระทำโดยสุจริต การติชมโดยธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชน เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ ทั้งนี้เพื่อกำจัดเหตุที่จะทำให้เกิดความมัวหมองและเสื่อมเสียแก่พุทธศาสนา..." แล้วเจอกันนะคะ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะแสบ