หมอเจ้าของเพจ "สู้ดิวะ" อัปเดตอาการป่วยตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค "มะเร็งปอด" ระยะสุดท้าย พร้อมสรุปบทเรียนที่ผ่านมาว่าชีวิตไม่แน่นอน

วันที่ 15 เมษายน 2566 จากกรณีที่ คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก "สู้ดิวะ" เพื่อเล่าประสบการณ์การป่วยเป็น "มะเร็งปอดระยะสุดท้าย" ทั้งที่อายุน้อย ชอบออกกำลังกาย และมีสุขภาพที่แข็งแรง จากนั้นได้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด คุณหมอกฤตไท ได้อัปเดตอาการป่วยผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาทวนเรื่องของตัวเองหน่อยครับ Median time to progression 6 months ตัวเลข 6 เดือนนี้สำคัญกับผมมากครับ มันแปลว่าที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยจะมี 50% ของคนที่เป็นโรคมะเร็งปอดชนิดนี้ ที่มีการลุกลามของมะเร็งเพิ่มขึ้น และดื้อต่อการรักษาหลักที่กำลังให้อยู่

ตุลาคม 2565

จุดเริ่มต้นของเรื่องราว ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดที่มีการลุกลามไปสมอง ผมรับการผ่าตัด รับการตรวจทั้งร่างกาย รับยาเคมีบำบัด รับการฉายแสง

พฤศจิกายน 2565

หลังจากรับผลข้างเคียงทุกอย่าง ขนร่วงหมดตัว ผมเริ่มตั้งหลักกับตัวเองใหม่ ตัดสินใจเปิดเพจ สู้ดิวะ ขึ้นมา เพื่อตั้งใจส่งต่อสิ่งเล็กๆบางอย่าง และมันดันส่งได้จริงๆ

ธันวาคม 2565

ติดตามผลการรักษาครั้งแรกที่ 3 เดือน ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ บอกว่าก้อนที่ปอดผมมีขนาดเล็กลง และมะเร็งไม่มีการกระจายไปที่อวัยวะอื่นเพิ่มเติม ตัวโรคในภาพรวมยังคงสงบ แต่ก้อนในสมอง ไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากยาที่ผมได้มันผ่านเข้าสมองได้น้อยมาก เชื้อมะเร็งในเนื้อสมองผมจึงเริงร่า ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเราโคตรไม่แน่นอน สุดท้ายเราจะต้องตายและเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันไหน

...

มกราคม 2566

อาการผมดีขึ้นมากๆ ผมกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ เข้ายิม ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย ผมได้กลับไปสอนนักศึกษา ได้กลับไปทำงาน เริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป ผมได้แชร์มุมมองเรื่องงานที่เราอยากทำไปจนวันสุดท้ายกับทุกท่าน

กุมภาพันธ์ 2566

ติดตามในสมอง 3 เดือนหลังจากฉายแสงครบ ถึงแม้ก้อนที่ฉายแสงไปจะยุบลง แต่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน ผมตัดสินใจที่จะสังเกตอาการไปก่อน ขอไปพูดกับน้องสวนกุหลาบก่อน แล้วค่อยว่ากันหลังจากนั้น ถ้าทุกท่านจำได้ ในโพสต์นั้น ผมเขียนว่า "ผมอาจไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้ว และอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้" ซึ่งผมหมายความแบบนั้นจริงๆ

เพราะหลังจากได้ไปสวนกุหลาบ ผมกลับมารับการตรวจสมองอีกครั้ง ก้อนที่เจอครั้งก่อนนั้น โตขึ้นเป็นสองเท่า ร่วมกับมีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้ในหัวผมมีทั้งหมด 13 ก้อนครับ และ ผมมีอาการชักร่วมด้วย

ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่น่าจะกระจายไปทั่วสมอง ซึ่งก็แปลว่าเนื้อสมองส่วนปกติของผมก็จะโดนรังสีไปด้วย ส่งผลให้สมองผมเสื่อมแน่นอน แค่มากหรือน้อย เร็วหรือช้าเท่านั้น จะเรียนปริญญาเอกอีกใบก็คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถึงผมจะไม่อยาก แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ

มีนาคม 2566

ผมเริ่มรับการฉายแสงทั่วศีรษะ โชคไม่ดีเท่าไร สมองผมบวมเยอะ ทำให้ผมมีความดันในกะโหลกเพิ่มขึ้น ผมปวดหัวมากๆ ปวดแบบลูกตาจะกระเด็นออกมา ผมอ้วกพุ่งออกมาทางจมูก ด้วยความแรงเดียวกับที่พุ่งออกทางปาก ผมได้นอนโรงพยาบาลสังเกตอาการ และรับยาสเตียรอยด์ เพื่อกดการอักเสบของสมอง ยาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องแลกกับผลข้างเคียงของมัน

หลังจากนอนโรงพยาบาลไปครึ่งเดือน ผมได้กลับบ้านและเขียนโพสต์ว่า "ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้" เพราะช่วงที่นอนโรงพยาบาลนั้น ผมคิดถึงการยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ

ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ผมประทับใจโพสต์นี้ที่สุด ตั้งแต่เปิดเพจมาเลยครับ เพราะโพสต์นี้มันมากกว่าการที่คนทักมาให้กำลังใจผม แต่คนในเพจกำลัง ให้กำลังใจกันและกัน ขอบคุณทุกคนมากครับ น่ารักมากๆเลย

หลังจากนั้นสองวัน ผมก็มีอาการปวดหัวรุนแรงอีกครั้ง ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองบอกว่า ก้อนในสมองผมมีเลือดออก และเลือดนั้นทำให้แรงดันในสมองเพิ่มขึ้น ผมอาจต้องรับการผ่าตัดระบายเลือดออก โชคดีที่สุดท้ายปริมาณเลือดนั้น ไม่ได้มากพอที่จะต้องผ่าตัดเปิดสมอง อาการปวดหัวน่าจะเป็นผลข้างเคียง จากการฉายแสงมากกว่า

แต่ก็ต้องรอทำเอกซเรย์ ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็กินยากดการอักเสบลดสมองบวมต่อไปก่อน ซึ่งพอกินยาตัวนี้ติดต่อกันนานๆ ทำให้ต้องกินยาป้องกันการติดเชื้อราในปอดควบคู่ไปด้วย ค่าผลเลือดต่างๆก็พังไปหมด

ทั้งที่ออกกำลังกาย และคุมอาหารอย่างดี กินยาสม่ำเสมอในขนาดสูงสุด แต่ค่าไขมันเลวในเลือดก็สูงกว่าค่าปกติมากๆ เป็นค่าไขมันที่ถ้าผมจะเป็นเส้นเลือดตีบ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับ นอกจากนี้ยังต้องกินยากันชัก และยาชะลออาการสมองเสื่อมทุกวันเช้าเย็น มีอาการปวดกระดูกซี่โครงที่ไม่รู้ว่ามะเร็งลุกลามไปกระดูกหรือเปล่า

ก่อนหน้านี้ผมจองตั๋วไปญี่ปุ่นเอาไว้ แต่จากอาการต่างๆที่เล่าไป ทำให้ความหวังที่ผมจะได้ไปเที่ยวดูเป็นเรื่องตลกมากๆเลยครับ สองวันก่อนจะถึงวันบินไปญี่ปุ่น ผมยังแอดมิทอยู่ด้วยซ้ำ แต่ผมก็พยายามเตรียมตัว เตรียมยา เขียนประวัติตัวเองอย่างดีที่สุด เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่นู่น หมอญี่ปุ่นจะต้องน้ำตาไหล ให้กับประวัติที่ผมเตรียมไว้ให้แน่ๆ (แต่ดีสุดคือไม่ต้องไปเจอเขานะ)

เหลือเชื่อมากๆครับ ที่ผมได้ไปเดินกับพีมในสวนที่เต็มไปด้วยดอกซากุระ ได้พาพีมไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปสูดอากาศสะอาด ไปกินอาหารอร่อย ได้ไปสวนสนุก ได้ใส่ชุดกิโมโนคู่กัน และผมได้กินเนื้อโกเบ ใช่ครับ ผมยังคงกินยามหาศาล นอนได้วันละ 2-3 ชั่วโมง ยังคงท้องผูก และต้องคอยสังเกตอาการตัวเองอย่างจริงจังตลอดเวลาแต่ ผมก็ยังไปด้วยความหวัง ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งที่ผมยังมองเห็น ทุกมื้อที่ผมได้กิน ทุกที่ที่ผมได้ไป ทุกกิจกรรมที่ผมได้ทำมันโคตรพิเศษ ทุกวันที่ผมได้รับมา ผมตั้งใจใช้มันเหมือนมันเป็นครั้งสุดท้าย (เพราะมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายของผมจริงๆ) ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะตื่นมามองเห็นแบบนี้อยู่ไหม ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะมีโอกาสมาเที่ยวอีกไหม ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะเป็นคนครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง

เมษายน 2566

เอาล่ะตอนนี้คือ 6 เดือน หลังจากวันที่ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย "ถ้ามันไม่ตอบสนองต่อการรักษาล่ะ ถ้าโรคมันกำเริบ หรือโรคมันไม่สงบล่ะ" เป็นความกังวลที่ผมไม่สามารถพยายามทำอะไร เพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้เลย ผมทำได้แค่ดูแลร่างกาย และจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อดทนกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แล้วหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทำได้แค่ หวัง จริงๆครับ

ผมเจอความผิดหวังเยอะเหมือนกันครับ ใช้พลังใจเยอะมากๆในการกลับมาสู้ต่อ แต่ผมก็กอดความหวังนั้นไว้ เพราะมันดูเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี ผมก็ไม่รู้อะไรเกิดก่อนกันนะครับ เพราะมีชีวิตจึงมีความหวัง หรือเพราะมีความหวังจึงมีชีวิต

ผมบอกกับพีมในวันที่กำลังไปทำการตรวจติดตามที่ 6 เดือนว่า "ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เค้าจะยังไม่ตายทันทีที่รู้ผล เย็นนี้เราจะยังไปกินข้าวอร่อยๆกันเหมือนเดิม" ผมได้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ทรวงอก และช่องท้อง รวมถึงตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง

และผลการติดตามที่ 6 เดือน คือ ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม ก้อนเล็กๆที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ ไม่มีก้อนขึ้นใหม่ที่อวัยวะอื่น ไม่มีการกระจายไปที่กระดูก ตับ ไต ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอด ที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครง ทำให้มีอาการปวด ซึ่งสามารถทำการฉายแสงเฉพาะจุดที่ก้อนได้ ผมได้เป็น "คนครึ่งหลัง" แล้วครับ

กลุ่มคนที่สถิติจากวิจัยบอกไม่ได้แล้วว่า จะอยู่ไปอีกนานเท่าไร และตัวเลขที่น่าสนใจต่อไปคือ สัดส่วนผู้ที่รอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 20% ผมหวังให้เป็นผมนะ ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วง 6 เดือนที่อยู่ด้วยกันมาคงได้ว่า "ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย อยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด"

วันหยุดสงกรานต์แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะกำลังใช้ช่วงวันหยุด ให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว หลายท่านคงมีโอกาสกลับบ้าน ไปอยู่กับครอบครัวหรือคนรัก ขอให้ทุกท่านใช้เวลาตรงหน้าให้เต็มที่ครับ ให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้าย เพราะเราไม่รู้จริงๆครับ ว่าสงกรานต์ปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะยังได้เจอกันไหม

ผมขอตัว ไปทานข้าวกับที่บ้านก่อนนะครับ สวัสดีวันสงกรานต์ครับ ผมว่า เราเดินทางด้วยกันมานานเหมือนกันครับ คงจะดี ถ้ามี "สู้ดิวะ รวมเล่ม" ไว้ติดตามกันนะครับ.

ขอบคุณข้อมูลจาก แฟนเพจเฟซบุ๊ก สู้ดิวะ