แม่ร้องขอความเป็นธรรม หลังลูกสาววัย 5 ขวบป่วยหนัก แล้วถูกหามส่งโรงพยาบาลชุมชนยื้อไม่ไหว สุดท้ายเสียชีวิต อ้างเมื่อสอบถามถึงสาเหตุโรงพยาบาลกลับระบุไม่ได้

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก สุทธิดา ฟ้า ทุมสงคราม ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ขอมาพูดในฐานะแม่คนหนึ่ง ที่ต้องเสียลูกสาวไปในวัย 5 ขวบ มันเป็นเรื่องที่เราทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ทุกวัน จนวันนี้เรามาขอความเป็นธรรม

ทำไมเราเพิ่งถึงเอามาโพสต์วันนี้ เพราะทุกอย่างเงียบไปหมด ไม่ได้รับคำตอบ ถึงข้อมูลสาเหตุอะไรอีกเลย นอกจากคำว่า ขอโทษ จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ขอเป็นเรื่องเตือนใจ ให้กับครอบครัวที่มีเด็ก และขออย่าให้มีเด็กคนอื่น ต้องเจอแบบลูกเรา

วันที่ 9 มี.ค. 66 น้องโซวามีอาการอาเจียน ไข้สูง ผู้ปกครองพาไปหาแพทย์โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ตอน 11 โมงกว่า พอไปถึงแพทย์คนที่ 1 ซักประวัติ แล้วให้ไปเจาะเลือด รอผล 1 ชม. มารอฟังผลกับแพทย์คนที่ 2 บอกไปเจาะเลือดเพิ่มเกี่ยวกับน้ำตาล (แต่ไม่ได้เจาะเพราะห้องแล็บเอาเลือดตัวเดิมไปปั่น) แล้วรอผลเพิ่มอีก 1 ชม. มาฟังผลกับแพทย์คนที่ 3

ซึ่งน้องโซวาอาเจียน 2-3 รอบ ระหว่างรอตรวจ แพทย์สอบถามว่าจะฉีดยากลับบ้าน หรือนอนโรงพยาบาล ผู้ปกครองบอกขอนอนค่ะ เนื่องจากกลัวดูแลไม่ไหว น้องอ่อนเพลีย และอีกอย่างน้องเป็นทาลัสซีเมีย มีเข้าเลือดทุกเดือน และกินยาอยู่ รักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดตลอด

แพทย์จึงทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้ ระหว่างวันน้องมีอาเจียน 4-5 รอบ บ่นปวดท้องเป็นช่วงๆ มีไข้ตลอด แพทย์ให้น้ำเกลือ ยาแก้อาเจียน แต่ยังยิ้มและพูดคุยกับแม่ได้ ด้วยความไร้เดียงสาของเด็ก ล่าสุดช่วงค่ำ ได้คุยกับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย ตอน 5 ทุ่ม ด้วยคำว่า "แม่อย่าเพิ่งมารับโซวากลับกรุงเทพฯ นะคะ โซวากลัวไม่หายอ้วก แล้วไม่ได้กลับกรุงเทพฯ กับแม่" 

...

เราตอบว่าไม่เป็นไรลูก แม่เลิกงานแล้ววันศุกร์แม่กลับไปรับนะ เดี๋ยววันเสาร์หนูขึ้นมากรุงเทพฯ กับแม่ เดี๋ยวแม่ไปส่งวันรับปริญญาหนู นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกับลูกสาว วันที่ 10 มี.ค. ช่วงเช้าแม่ของน้องได้โทรหาปู่ ได้รับแจ้งว่า น้องอ้วกทั้งคืน 10-20 รอบ มีไข้ตั้งแต่เข้ามานอนโรงพยาบาล กินไม่ได้ ตอนตี 2 พยาบาลมาฉีดยาแก้อ้วก ถึงนอนได้

เราให้ปู่แจ้งแพทย์ที่มาเยี่ยมตอนเช้าว่า ขอไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจังหวัด เพราะน้องมีเข้าเลือดอาทิตย์หน้า และมีหมอเด็กที่น้องรักษาอยู่ จะได้ดูแลได้อย่างเหมาะสมกับโรค ช่วง 9 โมงกว่า แพทย์มาเยี่ยม ปู่ขอพาหลานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจังหวัด หลานมีเข้าเลือดด้วยอาทิตย์หน้า แพทย์ตอบกลับมาว่า น้องเป็นสิทธิ์เบิกตรงค่ะ (สิทธิ์ข้าราชการ) จะไปต้องเซ็นใบปฏิเสธการรักษา แต่ถ้าอยู่นี่ หมอจะให้นอนดูอาการ 1-2 วัน

ด้วยความเป็นชาวบ้านของผู้ปกครอง บอกไม่เข้าใจที่แพทย์พูด และกลัวหลานไม่ได้รักษาที่ดีจากที่นี่ เลยตอบได้เอาตามที่หมอเห็นสมควร ด้วยความเชื่อใจหมอ และทีมพยาบาล เพราะว่าน้องก็เคยนอนโรงพยาบาลที่นี่บ่อย แต่ไม่เคยเจอหมอท่านนี้ ก่อนจะโทรแจ้งเราว่าแพทย์ให้นอนโรงพยาบาลต่อ เราทำงานอยู่กรุงเทพฯ จึงบอกว่าเดี๋ยวเย็นนี้จะกลับไปหาโซวา ไปเฝ้าลูกดูอาการเอง

ช่วง 10 โมงกว่า ยายมาเฝ้าแทน สังเกตเห็นหลานนอนซึม เรียกก็ร้องกรี๊ด จึงรีบไปบอกพยาบาลมาดู และโทรมาหาเราให้ช่วยดูอาการ เรารีบให้ยายบอกพยาบาลปลุกลูกให้หน่อย แต่บุคลากรท่านหนึ่งมาวัดความดัน แล้วบอกปกติ น้องอาจจะเพลียที่อ้วกเยอะ แล้วถามยายว่า น้องเป็นคนเอาแต่ใจไหม ยายก็ตอบว่ามีบ้างที่เอาแต่ใจ แต่ไม่เคยร้องกรี๊ดแบบนี้ บุคลากรท่านนั้นได้ตอบว่า นิสัยแบบนี้เหมือนเด็กเอาแต่ใจเลย

ระหว่างนั้นน้องกรี๊ดและฉี่ราดที่นอน ซึ่งเราวิดีโอคอลอยู่ก็ได้ยินทุกอย่าง จึงรีบบอกยายให้ตามพยาบาลอีกรอบว่าปลุกน้องให้หน่อย เป็นห่วงน้องปลุกไม่ตื่น อยากคุยกับลูก พยาบาลก็ปลุก น้องนิ่งปลุกไม่ตื่น เอาแต่ร้องกรี๊ดและฉี่ราด (ไม่รู้สึกตัว) พยาบาลได้รีบแจ้งแพทย์เวรมาตรวจเจาะเลือดทำหัตถการ และแจ้งญาติว่าต้องส่งโรงพยาบาลจังหวัดด่วน

ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม. ทำเอกสารส่งเรื่อง ลูกเราถึงได้ไปโรงพยาบาลจังหวัด ช่วงเวลา 14.00 - 15.00 น. แพทย์เด็กโรงพยาบาลจังหวัด แจ้งว่าน้องไม่รู้สึกตัว ไข้สูง ต้องรีบใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งเราอนุญาตให้ใส่ เพื่อช่วยน้อง ต่อมาได้เจาะเลือดรักษาด่วน ผลออกมาว่า น้องโซวาติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง

ช่วงเย็นวันที่ 10 มี.ค. 66 แพทย์แจ้งทางครอบครัวว่าน้องอาการหนักมาก มีชักและไข้สูง ไม่ค่อยตอบสนองต่อยา และมีโอกาสหัวใจหยุดเต้น พร้อมถามว่า "ถ้าหัวใจหยุดเต้น จะปั๊มหัวใจไหม" คำถามที่บีบหัวใจแม่สุด แต่เราก็บอกเต็มที่ ปั๊ม จากนั้นเราก็เฝ้าลูกทั้งคืนหน้าห้อง ICU นอนไม่หลับ เพราะกลัวเสียงโทรศัทพ์จากพยาบาลมาก 

วันที่ 11 มี.ค. 66 เรารีบมาหาลูกที่ ICU คุยกับแพทย์ว่าอาการน้องวิกฤติมาก ไม่ตอบสนองต่อยาและด้วยน้องมีโรคประจำตัว คือ ทาลัสซีเมีย กินยาขับเหล็กจะยิ่งทำให้ภูมิของน้องต่ำมาก เพราะมีความดันตก มีไข้ และยังมีภาวะช็อกเป็นช่วงๆ แต่อาการคงที่แล้วจะส่งตัวน้องไปโรงพยาบาลศูนย์ใหญ่แพทย์เด็ก ซึ่งครอบครัวก็ดีใจมาก รีบทำเอกสารส่งตัวน้อง

แต่ระหว่างนั้นน้องโซวาหัวใจหยุดเต้น แพทย์ได้ช่วยฟื้นคืนชีพเป็นเวลา 10 นาที สัญญาณชีพถึงกลับมา ก่อนบอกครอบครัวว่า รอให้ออกซิเจนขึ้นถึง 95% ค่อยส่งตัวได้ แต่อีก 30 นาทีต่อมา น้องหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง แพทย์ได้ช่วยฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และบอกว่าอาการน้องแย่มาก ไม่สามารถที่จะส่งตัวน้องได้แล้ว ให้อาการน้องคงที่กว่านี้เดี๋ยวค่อยมาปรึกษากันอีกครั้ง ถ้ารอบนี้หัวใจหยุดอาจจะไม่กลับมา เพราะน้องร่างกายบอบช้ำมาก จนสุดท้ายน้องเสียชีวิตเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดของครอบครัวเรา

วันที่ 12 มี.ค. 66 โรงพยาบาลชุมชน มาแสดงความเสียใจที่บ้าน และแจ้งว่าน้องเป็นสิทธิ์เบิกตรง (สิทธิ์ราชการ) ไม่สามารถใช้สิทธิ์มาตรา 41 ตามสาธารณสุขให้ได้ เราก็บอกไปว่าขอทราบข้อมูลการรักษา และขั้นตอนมากกว่า ว่าทีมแพทย์ได้รักษาตามขั้นตอนที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ต่อมา ทางโรงพยาบาลจึงขออนุญาตนำศพน้องไป CT Scan อีกครั้งที่โรงพยาบาลอื่น เพื่อหาสาเหตุการตาย แต่ผลที่ออกมา ก็ไม่สามารถระบุอะไรได้

วันที่ 15 มี.ค. 66 ทางโรงพยาบาลได้นัดพูดคุยกับครอบครัว ได้คำตอบคือ ขอโทษ บางเรื่องตอบคำถามไม่ได้ ไม่ได้ทำบ้าง ซึ่งคำตอบแบบนี้เหรอ กับชีวิตเด็กคนหนึ่ง ถ้าคุณหันไปดูลูกเราสักนิด ลูกเราอาจจะได้มีชีวิตเหมือนเด็กคนอื่น ขอความเป็นธรรมให้ลูกเรา

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไป อ.เชียงคาน จ.เลย พบญาติของน้องโซวา เด็กผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย ป้า ย่า และพ่อ ซึ่งทั้งหมดอยู่ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ นางสรีรัตน์ วงษ์เทศ ผู้เป็นย่าเล่าว่า วันที่ 9 มี.ค.66 หลานมีอาการอาเจียน ไข้สูง จึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลเชียงคาน ตอน 11 โมงกว่า

พอไปถึงแพทย์คนที่ 1 ซักประวัติ แล้วให้ไปเจาะเลือด รอผล 1 ชม. มารอฟังผลกับแพทย์คนที่ 2 บอกไปเจาะเลือดเพิ่มเกี่ยวกับน้ำตาล แต่ไม่ได้เจาะ เพราะห้องแล็บเอาเลือดตัวเดิมไปปั่น แล้วรอผลเพิ่มอีก 1 ชม. จนมาฟังผลกับแพทย์คนที่ 3 ซึ่งระหว่างนั้น น้องอาเจียน 2-3 รอบ แพทย์จึงสอบถามว่า จะฉีดยากลับบ้าน หรือนอนโรงพยาบาล จึงขอนอนที่โรงพยาบาล เพราะใกล้หมอ และหลานเป็นโรคทาลัสซีเมีย

ช่วงระหว่างที่รักษา สังเกตเห็นหลานนอนซึม บางครั้งมีเสียงร้องกรี๊ด จึงบอกพยาบาลให้มาดู เขามาวัดความดัน แล้วบอกปกติ แต่ระหว่างนั้น หลานก็กรี๊ด ฉี่ราดที่นอน และไม่รู้สึกตัว พยาบาลจึงรีบแจ้งแพทย์เวรมาตรวจก่อนจะเจาะเลือด และบอกญาติว่าต้องส่งโรงพยาบาลจังหวัดด่วน

แต่หลานไม่รู้สึกตัว ไข้สูง ใส่ท่อช่วยหายใจ ผลตรวเลือกออกมาพบว่า "หลานติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง" ในช่วงเย็นวันที่ 10 มี.ค. 66 ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า น้องอาการหนักมาก มีชักและไข้สูง ไม่ค่อยตอบสนองต่อยา และมีโอกาสหัวใจหยุดเต้น สุดท้ายก็อาการหนักและเสียชีวิต

ต่อมาทีมแพทย์พยาบาลก็มาขอโทษ แต่ยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้ กับการสูญเสียหลาน นั่งคิดถึงและดูเสื้อผ้า ของเล่นของหลาน แล้วน้ำตาไหลทุกครั้ง อยากให้ทางโรงพยาบาลออกมารับผิดชอบมากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ทางโรงพยาบาล ยังไม่มีการชี้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หากมีการเคลื่อนไหว หรืออัปเดตเพิ่มเติม จะรายงานให้ทราบอีกครั้ง.