• เบาหวาน โรคยอดฮิตของคนไทย รักษาไม่หายขาด ที่สำคัญเป็นแผลแล้วหายช้า
  • ความหวังของผู้ป่วยเบาหวาน นวัตกรรมใช้สเต็มเซลล์จากเลือดตัวเองรักษาแผล ช่วยลดการสูญเสียอวัยวะ ไม่ต้องตัดขา
  • แนวทางดูแลตัวเองของผู้ป่วยเบาหวาน อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง แนะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

"เบาหวาน" ถือว่าเป็นโรคยอดฮิตที่คนไทยป่วยเป็นอันดับต้นๆ แต่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากป่วย ไม่ว่าจะเป็นโรคใดก็ตาม แต่หากเจ็บป่วยแล้วก็ต้องรักษา หรือดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ซึ่งโรคเบาหวานนั้นเกิดจากการที่ในเลือดมีน้ำตาลสูงกว่าปกติ เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ต้องได้รับการดูแลรักษาตลอดชีวิต 

ที่สำคัญคือ เมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานมีบาดแผลเกิดขึ้นแล้วอาจติดเชื้อได้ง่ายและหายได้ยาก ในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรงอาจต้องตัดเท้าหรือขาของผู้ป่วย เพื่อรักษาส่วนอื่นๆ ไม่ให้ติดเชื้อลุกลาม

แผลเบาหวาน ทำไมแผลหายช้า?

ผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นจะมีไขมันและน้ำตาลที่ไม่ย่อยสลายไปจับกับเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบและแข็งเกิดการอุดตันในที่สุด ส่งผลให้แผลหายยาก เพราะไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง

...

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานระบบประสาทรับความรู้สึกจะเสื่อม รับความรู้สึกได้น้อยลง หรือไม่ได้เลย ทำให้เท้าชา ทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย และกว่าผู้ป่วยเบาหวานจะรู้ตัว แผลก็ลุกลามไปมากแล้ว

ความหวังของผู้ป่วยเบาหวาน ลดการสูญเสียอวัยวะ

ล่าสุด มีการศึกษาเรื่องนวัตกรรมสเต็มเซลล์จากเลือดผู้ป่วยมาใช้ในการรักษาแผลเบาหวานและซ่อมแซมฟื้นฟูหลอดเลือดเพื่อลดการสูญเสียอวัยวะส่วนปลาย และนวัตกรรมการรักษามะเร็งด้วยลำแสงอิเล็กตรอน โดยความร่วมมือระหว่าง รพ.พานาซี กับ รพ.โชนัน คามาคูระ จากประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ คุณศิริญา เทพเจริญ กรรมการบริหาร PANACEE MEDICAL CENTER ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าทางนวัตกรรมทางการแพทย์ จาก รพ.โชนัน คามาคูระ ที่มาจับมือผสานความร่วมมือกับพานาซีในครั้งนี้ว่า เราจะนำเรื่องนวัตกรรมทางสเต็มเซลล์จากผนังหลอดเลือดมารักษาผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

สเต็มเซลล์ตัวนี้สามารถใช้ในผู้ป่วยที่เป็นถึงขั้นที่รุนแรงจนอาจจะถูกตัดขา นอกจากนี้ ยังประสบความสำเร็จในเรื่องหลอดเลือดสมอง หรือสโตรกด้วย เนื่องจากหลอดเลือดในร่างกายมีความสำคัญกับอวัยวะทุกส่วน ทั้งสมอง หัวใจ ถ้าเส้นเลือดดีจะช่วยให้เราแข็งแรง เพราะเส้นเลือดเป็นตัวการที่การนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะทั้งระบบของร่างกาย

โดยนวัตกรรมนี้จะใช้สเต็มเซลล์ที่เก็บจากเลือดของตัวเราเองจึงทำให้มีความปลอดภัยที่สุด และไม่ใช่ทำได้แค่ซ่อมแซมหลอดเลือด แต่ยังสามารถสร้างหลอดเลือดขึ้นมาใหม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานมักเจอคือ อาการแผลเน่า เนื้อตาย จนต้องลามถึงการตัดขา สเต็มเซลล์จากเลือดนี้จะเข้าไปซ่อมแซม ฟื้นฟู และสร้างหลอดเลือดขึ้นมาใหม่ ทำให้ลดการสูญเสียอวัยวะที่เสียหายได้ ซึ่งอยากแนะนำให้มาทำก่อนมีอาการป่วย เพราะเหมือนเรามีเส้นเลือดที่สมบูรณ์อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราก็จะสมบูรณ์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไปด้วย

นอกจากนี้ ทาง รพ.โชนัน ยังทำการวิจัยเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคไต ผู้ป่วยที่กำลังทรมานต้องฟอกไต จนถึงไตวาย ถ้างานวิจัยนี้ประสบความสำเร็จ จะถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ให้กับวงการแพทย์ ดังนั้นการจับมือระหว่าง รพ.พานาซี และ รพ.โชนันในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ซึ่งทาง รพ.พานาซี มี Vision ว่า เราจะลดการใช้ยาแล้วหันมาใช้สเต็มเซลล์จากตัวเองเพื่อการดูแลรักษา ซึ่งจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย

องค์ความรู้นี้นอกจากจะนำมาช่วยคนไทยแล้ว เรายังสามารถเป็นเซ็นเตอร์ในการรักษาพยาบาลด้านเบาหวาน และสโตรก โดยการใช้สเต็มเซลล์จากหลอดเลือดที่ประสบความสำเร็จในการรักษามาแล้วแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยประเทศไทยเรามีชื่อเสียงโดดเด่นเรื่องการรักษาพยาบาล ค่าครองชีพของเราก็ถูกกว่าชาติอื่น เราสามารถนำมาต่อยอดสร้างเศรษฐกิจด้าน Wellness ให้กับประเทศไทยได้ จากที่มีความฝันอยากให้ประเทศไทยเป็น Medical Hub นี้ก็คือจุดเริ่มต้น จะเป็นจุดเล็กๆ ที่จะกระจายไปสู่คนไทยทั้งประเทศและชาวต่างชาติที่ตั้งใจบินมารักษาที่ประเทศไทย

นพ.ภัทรพล คำมุลตรี รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล พานาซี พระราม 2 กล่าวเพิ่มเติมถึงความแตกต่างของ สเต็มเซลล์ที่รู้จักกันแพร่หลาย และนวัตกรรมใหม่ของสเต็มเซลล์หลอดเลือดนี้ว่า สเต็มเซลล์โดยทั่วไปจะมีต้นกำเนิดทั่วไปไม่ได้จำเพาะกับเนื้อเยื่อใดเนื้อเยื่อหนึ่งเป็นหลัก แต่นวัตกรรมที่เราได้แลกเปลี่ยนกับทางญี่ปุ่น จะเป็นนวัตกรรมของสเต็มเซลล์ของผนังหลอดเลือดที่อยู่ด้านในของหลอดเลือด ซึ่งเราก็จะดึงจากเส้นเลือดของคนนั้นเลย แล้วนำไปสู่ขบวนการขั้นตอนต่างๆ แล้วฉีดกลับเข้าไปเพื่อฟื้นฟูในบริเวณที่เราต้องการสร้างหลอดเลือด ซึ่งเป็นองค์ความรู้ของทาง รพ.โชนันฯ ญี่ปุ่น และนำมาถ่ายทอดความรู้ให้ทาง รพ.พานาซี เราได้มาดูแลผู้ป่วยในประเทศไทย

โดยผลลัพธ์ในการรักษาตรงนี้จะดีกว่าใช้สเต็มเซลล์ทั่วๆ ไปที่ไม่จำเพาะในการรักษาหลอดเลือด ซึ่งถือว่าสเต็มเซลล์ตัวนี้เหนือกว่า เพราะไปจำเพาะที่หลอดเลือดโดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นแผลเบาหวาน ใกล้ที่จะอยู่ในภาวะตัดขาหรือตัดอวัยวะส่วนต่างๆ จึงถือเป็นทางออกที่ผู้ป่วยควรจะได้รับ

สำหรับการรักษาโดยเรื่องสเต็มเซลล์หลอดเลือดนี้จะสามารถให้การบริการดูแลผู้ป่วยได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงพยาบาลพานาซี พระราม 2 และ คลินิกพานาซี (เอกมัย) 

แนะผู้ป่วยเบาหวาน เลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง หมั่นออกกำลังกาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เคยให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางในการดูแลตัวเอง สำหรับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวาน ว่า แม้โรคเบาหวานจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ถ้าคุมระดับน้ำตาลและน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้เป็นโรคเบาหวานสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีความสุข

โดยผู้เป็นโรคเบาหวานส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ตัวจนกว่าจะแสดงอาการ เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย แผลหายช้า อ่อนเพลีย ชาปลายมือปลายเท้า สายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูง หากปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตันทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวานขึ้นจอประสาทตาจนทำให้ตาบอด โปรตีนรั่วในปัสสาวะจนนำไปสู่โรคไตเสื่อม หลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และสตรีมีครรภ์ที่เป็นโรคนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ อาจเกิดการแท้งบุตรได้

การควบคุมอาหาร ต้องรู้จักเลือกกินอาหารที่เหมาะสมในปริมาณที่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะยาเบาหวานโดยทั่วไปมีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำตาลจากอาหารได้เพียง 45-60 กรัมต่อมื้อ คิดเป็นข้าวสวยไม่เกิน 3-4 ทัพพีเท่านั้น

ในขณะที่อาหารตามสั่งทั่วไปอาจให้ข้าวมากกว่า 4 ทัพพี ซึ่งมีน้ำตาลมากกว่าที่ยาจะควบคุมได้ จึงควรเลือกเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือธัญพืชไม่ขัดสี จะช่วยให้ได้รับใยอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลช้าลง ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ยังจำเป็นต้องควบคุมปริมาณเช่นเดียวกับข้าวขาว จึงไม่ควรกินธัญพืชเพิ่มจากข้าว เช่น ข้าวกับผัดฟักทอง หรือ ข้าวกับผัดวุ้นเส้น เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรงดกินน้ำตาลเกินจำเป็น เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ผลไม้หวานจัด น้ำหวาน น้ำอัดลม ควรเลือกผลไม้ชนิดที่ไม่หวานจัดในปริมาณที่เหมาะสม เช่น กล้วย แอปเปิ้ลเขียว ฝรั่ง ส่วนนมจืดนั้นไม่ควรดื่มเกิน 1 แก้วต่อวัน เนื่องจากนมวัวมีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่นเดียวกับนมไขมันต่ำพร่องมันเนย หรือนมไม่มีไขมัน ซึ่งลดเฉพาะปริมาณไขมันแต่มีน้ำตาลเหมือนเดิม สำหรับนมเปรี้ยวส่วนใหญ่จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณสูง จึงไม่ควรกินทุกวัน

ทั้งนี้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดปริมาณการใช้ยาหรือการฉีดอินซูลินได้ ควรออกกำลังกายที่ไม่ใช้แรงกระแทก หรือมีแรงกระแทกต่ำ เช่น เดิน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเลือกความหนักของการออกกำลังกายที่เหมาะสม หากมีอาการเหนื่อย ให้ลดความเร็วลงหรือหยุดพักแล้วค่อยเดินต่อ ไม่ควรเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ควรเดินเท้าเปล่า เลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย หมั่นตรวจดูแลสุขภาพเท้าเป็นประจำ ไม่ให้เกิดแผล ไม่ควรออกกำลังกายในที่ร้อนจัดหรือชื้น ให้จิบน้ำเป็นระยะ ทุก 10-15 นาที

ที่สำคัญ ควรระวังระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้เป็นเบาหวานที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรมีระดับน้ำตาลในช่วง 100-250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ให้ตระหนักตนเองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ถือเป็นการเฝ้าระวังสุขภาพตนเองอีกทางหนึ่งด้วย.