"กรมการแพทย์" ชี้เด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ สำหรับฝุ่น PM 2.5 เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะยาวและสั้น พร้อมแนะวิธีป้องกัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 มีรายงานว่า กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ชี้ ฝุ่นละออง PM 2.5 คือ ฝุ่นขนาดเล็ก เด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากตัวเล็ก ปอดกำลังพัฒนา ชอบเล่นในที่กลางแจ้ง อัตราการหายใจเร็ว มีแนวโน้มไม่ใส่เครื่องป้องกันฝุ่น มีโอกาสได้รับฝุ่น เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ใหญ่ ในช่วงเวลาเท่ากัน ในขณะเดียวกัน ผู้ป่วยโรคหืดจะมีความไวต่อการกระตุ้นจากฝุ่น PM 2.5

นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตยากร อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผย PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งขนจมูกไม่สามารถกรองได้ และอาจมีสารพิษเกาะติดมาด้วย สามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจ เข้าไปยังถุงลม และแทรกซึมผ่านเข้าไปยังหลอดเลือดฝอย และเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น ไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ

ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งในระยะสั้น ได้แก่ ทำให้ไอ จาม ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ระคายเคืองผิวหนัง เกิดผื่นคัน และก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาว ต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ มะเร็งปอด ระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจวาย ความดันโลหิตสูง คลอดก่อนกำหนด ทารกคลอดน้ำหนักตัวน้อย นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อพัฒนาการ และระบบสมองของทารก

ขณะที่นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า การดูแลและป้องกันเด็กให้ปลอดภัยจาก PM 2.5 ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ควรติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศ ดูแลให้เด็กดื่มน้ำสะอาด 8-10 แก้วต่อวัน ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิดและเปิดพัดลม ให้อากาศหมุนเวียน ไม่จอดรถ และติดเครื่องยนต์ เป็นเวลานานในบริเวณบ้าน

...

เมื่อ PM 2.5 อยู่ในระดับ > 26 มคก./ลบ.ม. ดูแลเด็กให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ให้สวมหน้ากากป้องกัน PM 2.5 สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัว ควรดูแลอย่างใกล้ชิด หากมีอาการไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ให้รีบไปพบแพทย์.